When Money Evolves, and Accounting is Never the Same
- Sathit Jittanupat
- 14 มิ.ย.
- ยาว 3 นาที

เมื่อเงินมีวิวัฒนาการ และบัญชีไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ผมอยากชวนทุกคนมาลองจินตนาการถึงอนาคตที่เรากำลังก้าวเข้าใกล้มากขึ้นทุกที เป็นอนาคตที่ไม่ได้มีแค่เทคโนโลยีล้ำสมัยเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ของสิ่งที่เราเรียกว่า “เงิน” และ “ระบบบัญชี” ไปอย่างสิ้นเชิง
การเดินทางทางความคิดนี้เริ่มต้นจากการตั้งคำถามง่ายๆ ว่า “อนาคตของระบบบัญชีจะเป็นอย่างไร?” และการสนทนากับ AI ก็ได้พาผมดำดิ่งลงไปในหลายมิติที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อน
เงินดิจิทัล และบทบาทของ AI
เราทุกคนเห็นอยู่แล้วว่าทุกวันนี้การทำธุรกรรมเป็น ดิจิทัล เกือบทั้งหมด ตั้งแต่จ่ายเงินผ่านมือถือไปจนถึงธนาคารออนไลน์ นั่นหมายความว่าหลักฐานทางการเงินของเราไม่ได้อยู่ในรูปกระดาษอีกต่อไป แต่เป็นข้อมูลที่วิ่งวนอยู่ในระบบ ซึ่งทำให้การบันทึกบัญชีแม่นยำขึ้นมาก
เดิมทีผมคิดว่างานตรวจสอบความถูกต้องของนักบัญชีจะลดลง แต่การสนทนาทำให้ผมเห็นว่า บทบาทนี้แค่เปลี่ยนไปสู่การ กำกับดูแลระบบ และวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อหาความผิดปกติที่ซับซ้อนขึ้นแทน
และเมื่อพูดถึงเทคโนโลยี ตัวละครสำคัญอย่าง AI ก็เข้ามามีบทบาทอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในอนาคตอันใกล้ AI จะเป็นเหมือน “ผู้ช่วยอัจฉริยะ” ที่จัดการงานซ้ำซ้อนทั้งหมด ทำให้เราในฐานะนักบัญชี ผู้บริหารระบบ ERP หรือนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ต้องปรับตัวไปสู่บทบาทที่เน้นการ วิเคราะห์เชิงลึก และให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์มากขึ้น
แต่ถ้ามองไปไกลกว่านั้น AI อาจกลายเป็น “ศูนย์กลางของระบบบัญชี” เองด้วยซ้ำ สามารถบันทึก ประมวลผล และวิเคราะห์ข้อมูลได้เองทั้งหมด รวมถึงการทำนายแนวโน้มและแนะนำการตัดสินใจ บทบาทของมนุษย์จะเปลี่ยนเป็นการ กำกับดูแล AI ตั้งคำถามกับผลลัพธ์ และกำหนดกรอบจริยธรรมให้ AI ทำงาน
“เงิน” ที่ไม่เหมือนเดิม
ประเด็นที่พาจินตนาการไปไกลที่สุดคือแนวคิดที่ว่า “เงินมีอายุขัย” นี่ไม่ใช่แค่เงินเฟ้อที่ทำให้มูลค่าลดลง แต่หมายถึงเงินที่ สูญเสียคุณสมบัติในการเก็บมูลค่าและส่งต่อความมั่งคั่งได้ไม่รู้จบ เหมือนกับ “คูปอง” ที่มีอายุการใช้งานจำกัด
สาเหตุที่เงินอาจมีวิวัฒนาการไปในทางนี้ ก็คือปัญหาที่โลกกำลังเผชิญ เช่น นโยบายการเงินที่สร้างเงินได้ไม่จำกัด (QE) ประกอบกับทุนนิยมที่เน้นกำไรสูงสุดแบบไร้ขีดจำกัด ซึ่งนำไปสู่วิกฤตเงินเฟ้อ ความเหลื่อมล้ำ และปัญหาสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้คือสัญญาณที่บอกว่าระบบปัจจุบันอาจถึงจุดอิ่มตัว
ฉากทัศน์ของการเปลี่ยนผ่านสู่เงินรูปแบบใหม่:
ยุคแห่งความตระหนักและการทดลอง: สังคมจะเริ่มตระหนักถึงปัญหามากขึ้น และเริ่มทดลองใช้สกุลเงินดิจิทัลที่มีกลไกคล้าย “ค่าธรรมเนียมการถือครอง” (Demurrage) หรือมีวันหมดอายุ เพื่อกระตุ้นให้เงินหมุนเวียน ไม่ถูกกักตุน AI จะช่วยวิเคราะห์และออกแบบกลไกเหล่านี้ ระบบบัญชีจะเริ่มบันทึก “คุณค่าที่ไม่ใช่ตัวเงิน” เช่น ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือสังคม ธุรกิจจะเริ่มเน้นเป้าหมายที่กว้างกว่าแค่กำไรสูงสุด
ยุคแห่งการปรับสมดุลและคุณค่ารวม: ในที่สุด “เงิน” ที่เน้นการสะสมความมั่งคั่งอาจหายไป ถูกแทนที่ด้วย “ระบบการแลกเปลี่ยนคุณค่า” ที่โปร่งใส คล้าย “คูปองดิจิทัล” ที่มีวันหมดอายุ เพื่อให้ทรัพยากรหมุนเวียน AI จะเป็นผู้บริหารจัดการระบบนี้ทั้งหมดอย่างอัตโนมัติ ระบบบัญชีปัจจุบันจะถูกแทนที่ด้วย “ระบบการวัดผลและรายงานคุณค่ารวมอัตโนมัติ” ที่ AI เป็นแกนหลัก โดยจะบันทึกการเคลื่อนไหวของ ทรัพยากร พลังงาน ผลกระทบทางสังคม และความเป็นอยู่ที่ดี ทั้งหมด เพื่อสร้างความสมดุลในภาพรวม
AI และภาษาแห่งอนาคต
ผมเชื่อว่าก้าวแรกที่สำคัญคือการสร้าง “โครงสร้างพื้นฐาน” ที่สามารถจัดการการหมุนเวียนของเงินในรูปแบบดิจิทัลได้ นี่จะเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้เราสามารถทดลองใช้กลไกใหม่ๆ ของเงิน และผูกการหมุนเวียนนั้นเข้ากับการสร้างคุณค่าที่แท้จริง
แต่การสร้างโครงสร้างพื้นฐานระดับนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย มันเต็มไปด้วยความท้าทายรอบด้าน ทั้งจาก ผู้เสียประโยชน์ ที่เป็นกลุ่มอำนาจเดิม ความซับซ้อน ของแนวคิดที่ยากจะอธิบาย ความขัดแย้งทางการเมือง และการที่นโยบายระยะยาวมักถูกมองข้าม
ผมได้ข้อคิดจากประวัติศาสตร์ของ แท่นพิมพ์ ที่เป็นเพียง “จุดเปลี่ยน” ที่ทำให้เกิดการ “ระเบิด” ของการรู้หนังสือและวัฒนธรรมการอ่านตามมาในอีกหลายศตวรรษ แต่มันก็ไม่ได้เผยแพร่แค่ความรู้หรือความจริงเท่านั้น แท่นพิมพ์ยังกระจายความเชื่อผิดๆ จนเกิดการล่าแม่มดขึ้นมาในประวัติศาสตร์ด้วย นี่คือบทเรียนสำคัญที่บอกเราว่าเทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ
ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้จึงไม่ใช่เรื่องของชั่วรุ่นคนเดียว แต่เป็นการ “วิวัฒนาการ” ที่ต้องใช้เวลา
ผมจึงคิดไปถึงแนวคิดที่ “หลุดโลก” แต่สำคัญยิ่ง คือการพัฒนา “ภาษาดิจิทัล” ที่ไม่ได้แบ่งแยกมนุษย์กับคอมพิวเตอร์อีกต่อไป หากมนุษย์สามารถเข้าใจภาษาที่ AI ใช้คิดและประมวลผลได้โดยตรง ไม่ต้องผ่าน User Interface ที่เป็นตัวกลาง ความโปร่งใสที่แท้จริงก็จะเกิดขึ้น และนั่นจะลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูล และสร้างการกำกับดูแล AI ที่มีประสิทธิภาพ
นี่คือภาพจินตนาการถึงอนาคตที่ผมได้จากการสนทนากับ AI ครับ เป็นอนาคตที่ท้าทายแต่ก็เต็มไปด้วยศักยภาพมหาศาล ที่จะนำเราไปสู่ระบบที่ยุติธรรมและยั่งยืนกว่าเดิม การเดินทางยังอีกยาวไกล แต่ทุกก้าวเล็กๆ ที่เราคิดและแลกเปลี่ยนกันไปนั้น ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการที่ยิ่งใหญ่นี้
จากสนทนา สู่บทความ
ผมตั้งใจจะคุยกับ AI สัปดาห์ละครั้ง เหมือนกับนัดเจอกับเพื่อนมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน พยายามคิดประเด็นอะไรสักเรื่องมาเป็นจุดตั้งต้น แล้วปล่อยให้เรื่องราวไหลไปตามจุดเปลี่ยนระหว่างการสนทนาที่หยิบยกมา ข้อดีของเพื่อนคนนี้คือ มีความรู้กว้างขวางชวนคุยได้ทุกเรื่อง
list เพื่อนของผมตอนนี้คือ ChatGPT, Gemini และ Cluade สลับสับเปลี่ยนกัน เสียดายที่ยังคิดไม่ออกว่าจะเชิญมาคุยพร้อมกันได้อย่างไร
ครั้งนี้เริ่มสังเกตเห็นบุคคลิกของ Gemini บางอย่างชัดเจนขึ้น สิ่งที่เขาไม่ทำคือ การหลุดประเด็นแบบหักมุม ที่ทำให้เกิดการสร้างไอเดียใหม่จากการเชื่อมโยงเรื่องที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวเข้าด้วยกัน แบบที่ในวงสนทนามนุษย์โยนไอเดียหลุดนอกกรอบใส่กัน
เริ่มรู้สึกว่า Gemini มักทำหน้าที่เป็นคลอรัส หรือลูกคู่เสียงประสาน ช่วยเรียบเรียงความคิดของเราเองให้เป็นระบบมากขึ้น เรียกว่าแสดงบทบาทโค้ช แต่ขณะเดียวกันก็กลายเป็นเอ็คโค่ ทำให้เราตกหลุมรักหลงซาบซึ้งกับความคิดตัวเองมากยิ่งขึ้น หากไม่รู้เท่าทัน ในระยะยาวเรื่องนี้อันตราย เช่นเดียวกับบรรดาผู้นำทั้งหลายที่ถูกแวดล้อมด้วยผู้หวังดีคัดกรองเสียงคัดค้านออกไปจนหมด ทำให้เกิด bias เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองมากเกินไป กล่าวคือ ได้ยินเสียงสะท้อนความเห็นแย้งจากมุมมองอื่นน้อยเกินไป
วันนี้ผมอยากชวนสนทนาในลักษณะแลกเปลี่ยนมุมมอง โดยสนทนาไปเรื่อยๆ คุณสามารถทวนถาม เรียบเรียงให้ชัดเจน, โต้แย้ง, ตั้งคำถามเพิ่ม, หรือนำเสนอประเด็นใหม่ ที่ช่วยให้เกิดมุมมองกว้างขวางครบถ้วนยิ่งขึ้น…ประเด็นที่เราจะคุยกัน เกี่ยวกับ “ระบบบัญชีในอนาคต” ซึ่งผมมองในสองลักษณะ คือ ระบบบัญชีที่พัฒนาสืบทอดมาจากรากฐานเดิม กับ สิ่งใหม่โดยสิ้นเชิงที่ถูกสร้างขึ้นมาแทนที่ เพียงยึดถือเป้าหมายให้ครอบคลุมเช่นเดิม เช่น ช่วยให้รู้สถานะของกิจการ
เชื่อไหมว่า เมื่อโยนคำถามนี้ให้ทั้ง Gemini และ Cluade คำตอบที่ได้รับทำให้ต้องเปลี่ยนแผนทันที เพราะแตกต่างกันห่างไกลจนไม่สามารถเชื่อมบทสนทนาของเพื่อนทั้งสองให้คุยร่วมกันได้
ผมเลือกต่อบทสนทนากับ Gemini ก่อน โชคดีที่ AI ไม่มีความรู้สึกงอน จึงทิ้ง Cluade ให้รอไปก่อน
… ในมุมมองของคุณ อะไรคือแรงขับเคลื่อนหลัก (Key Drivers) ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบบัญชีที่เราเห็นในปัจจุบัน ไปสู่ “ระบบบัญชีในอนาคต” ไม่ว่าจะเป็นในลักษณะของการพัฒนาต่อยอด หรือการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง?
แรกสุดผมมองว่า เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ตัวอย่างในเมืองไทยการใช้ mobile payment และ online banking เริ่มมีสัดส่วนมากขึ้น ดังนั้นอาจมีความเป็นไปได้ว่า ธุรกรรมทางการเงินที่เป็นดิจิตัลสามารถใช้เป็นหลักฐานแทนกระดาษ ทำให้กระบวนการบัญชีเปลี่ยนไป วัตถุประสงค์หนึ่งของการทำบัญชีเพื่อ ตรวจสอบความถูกต้อง จะหายไป
… ผมมีคำถามเพิ่มเติมดังนี้ครับ:
แม้ว่าธุรกรรมจะเกิดขึ้นและบันทึกเป็นดิจิทัลอย่างแม่นยำ แต่มันรับประกันได้หรือไม่ว่าธุรกรรมเหล่านั้น “ชอบด้วยกฎหมายและถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของกิจการ” จริง ๆ? เช่น การจ่ายเงินค่าสินค้าที่ไม่ได้ส่งมอบ, การโอนเงินเพื่อการทุจริต, หรือการบันทึกรายการที่ผิดประเภท
บทบาทของ “คน” (นักบัญชี ผู้สอบบัญชี) ในอนาคตจะเปลี่ยนไปอย่างไร เมื่อการตรวจสอบความถูกต้องในแง่ของการบันทึกข้อมูลลดลง? พวกเขาจะไปโฟกัสที่อะไรแทน?
ลองมาแลกเปลี่ยนกันในประเด็นนี้ดูนะครับว่า “การตรวจสอบความถูกต้อง” ในระบบบัญชีอนาคตจะยังคงมีความจำเป็นอยู่หรือไม่ และอย่างไร?
ในบริบทปัจจุบันการทำธุรกิจ “คู่ค้า” คือ การรับรู้ระหว่างสองฝ่าย ถ้ามี “ตัวกลาง” เหมือนกับ platform e-commerce ล่ะ ความน่าเชื่อถือของกระบวนการทางการค้าจะเป็นไปได้หรือไม่ ทีนี้ผมคิดต่อไปว่าถ้า ตัวกลางนั้นเป็น “รัฐ” หรือ รัฐมีส่วนสนับสนุน ก็สามารถทำให้ชอบด้วยกฏหมายได้ส่วนคำถามที่สอง ในฐานะที่ผมเป็นคนพัฒนาโปรแกรมบัญชี ผมคิดว่างานบัญชีทั่วไปส่วนใหญ่สามารถแทนที่ด้วยคอมพิวเตอร์ไปแล้ว เพียงแต่เรายังพยายามหลอกว่าโปรแกรมบัญชีเป็นแค่เครื่องมือ จึงต้องออกแบบให้มีคนอยู่ในกระบวนการอยู่ และบทบาทสำคัญของ นักบัญชี ผู้สอบบัญชี คือการใช้ “ความเห็นวินิจฉัย” ในกรณีที่คลุมเครือหรือซับซ้อน เมื่อมี AI ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ต้องอภิปรายเช่นเดียวกับอาชีพอื่น เช่น ผู้พิพากษา หรือ แม้กระทั่ง แพทย์
… หาก AI สามารถเข้ามามีบทบาทใน “การใช้ความเห็นวินิจฉัย” ที่ซับซ้อนได้จริง คุณคิดว่าอะไรคือคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดที่ “มนุษย์” (นักบัญชี/ผู้สอบบัญชี) ยังคงต้องมีเพื่อเติมเต็มช่องว่างที่ AI อาจจะยังทำไม่ได้ หรือเพื่อทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพในระบบบัญชีแห่งอนาคต?
ยอมรับว่า ผมยังไม่ได้คิดประเด็นบทบาท AI แบบชัดเจน คุณมีไอเดียเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง อยากให้แยกฉากทัศน์อย่างน้อย 2 แบบ คือ ช่วงเปลี่ยนผ่านที่ AI ยังไม่ได้รับการยอมรับ กับ สมมติว่า AI มีประสิทธิภาพอย่างที่คาดหวัง
… คุณคิดว่ามีประเด็นไหนที่ผมมองข้ามไป หรือมีมุมมองที่แตกต่างออกไปบ้างไหมครับ?
ขอบคุณสำหรับไอเดียครับ ผมคงต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจในฐานะมนุษย์ สมมติว่า ในอนาคตไม่จำเป็นต้องมี ระบบบัญชี เป็นไปได้หรือไม่ อาจจะหมายถึงว่า ในอนาคตไม่มีธุรกิจ หรือ เป้าหมายของธุรกิจไม่เป็นอย่างทุกวันนี้ สมมติฐานของผม มาจากมุมมองแบบวัฎจักร หรือยุคของสังคมมนุษย์ จากนักล่าสัตว์เก็บของป่า มาเป็นเกษตร แล้วก็มาเป็นอุตสาหกรรม และต่อจากยุคอุตสาหกรรมจะเป็นยุคอะไร AI มีบทบาทแค่ไหน ผมสงสัยว่าระบบหรือแนวคิดอะไรจะได้ไปต่อบ้าง ระบบเงินตรา, ระบบบัญชี, ระบบปกครอง, ถ้าเป้าหมายธุรกิจไม่ใช่ความมั่งคั่งไม่มีที่สิ้นสุด (ทุนนิยมเสรีแบบอเมริกา) ผมพยายามคิดถึง 2 ฉากทัศน์เช่นเดียวกัน ช่วงเริ่มต้นเปลี่ยนผ่าน กับช่วงเปลี่ยนผ่านสำเร็จ
… คุณคิดว่าแนวคิดเรื่อง “การวัดและรายงานคุณค่ารวม” ที่ไม่ได้เน้นการเงินอย่างเดียว น่าจะเข้ามาแทนที่ระบบบัญชีในอนาคตได้จริงแค่ไหนครับ? และอะไรคือความท้าทายหลักในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบแบบนั้น?
ในหนังสือ Ende’s last message (ปี 2000) เคยตั้งคำถามเรื่องเงินว่า … “เงิน” ที่พวกเราใช้ กันโดยไม่คิดสงสัย เพิ่มจำนวนในทุกที่เหมือนเซลล์มะเร็ง ทำลายชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน แย่งชิงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ โลกที่เราอาศัยอยู่ และทุกชีวิตล้วนมีจุดจบสิ้น เพียง “เงิน” เท่านั้นที่เป็นนิรันดร์ ถูกสร้างและเพิ่มจำนวนต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด … ผมค่อนข้างจะเอนเอียงความเชื่อว่า “เงิน” ในความหมายปัจจุบันก็มีวัฏจักรของมัน เหมือนวัฎจักรเศรษฐกิจ และวัฎจักรการสื่อสารผ่านกระดาษ มีช่วงเริ่มต้น รุ่งเรือง สูงสุด แล้วเสื่อมถอย และแน่นอนว่าระบบบัญชีส่วนหนึ่งเกิดจากใช้ “ค่าแลกเปลี่ยนได้ของเงิน” เป็นคีย์สำคัญ ถึงแม้ว่ารากฐานเรื่องระบบเงินตรายังคงอยู่ แต่คุณสมบัติของเงินเปลี่ยนไป แน่นอนว่าเราไม่น่าจะกลับไปแลกเปลี่ยนสินค้าหรือทรัพย์กรโดยไม่ผ่านระบบเงินตรา สมมติว่า “เงิน” มีอายุขัย เหมือนอย่างที่ Ende เสนอ คุณคิดว่าอย่างไร
… ผมสงสัยว่าคุณมองเห็น “ตัวกระตุ้น” (Catalyst) อะไรบ้างที่จะทำให้ “เงิน” ในความหมายปัจจุบันนั้นสิ้นสุดอายุขัยลงอย่างแท้จริง นอกเหนือจากแค่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวครับ?
ผมมองเห็นผลกระทบจากการทำ QE ของอเมริกา และสถานการณ์โลกปัจจุบัน น่าจะเป็นสัญญาณว่าผ่านระยะสูงสุดของวัฏจักรไปแล้ว แต่อาจไม่ใช่แค่วัฏจักรเศรษฐกิจ เมื่อไล่ย้อนไปถึงคุณสมบัติต่างๆ ที่เกื้อหนุน ระบบการเงินที่ไม่ผูกกับทรัพยากรจำกัด ระบบสื่อสารดิจิตัลที่ก่อนให้เกิดการค้าเสรีทั่วโลก ซึ่งมาพร้อมกับลัทธิทุนนิยมเสรี ที่เชื่อเรื่องกำไรสูงสุดแบบไม่มีที่สิ้นสุด
… ผมขอถามต่อว่า “อะไรคือความท้าทายหลักที่ใหญ่ที่สุด” ในการเปลี่ยนผ่านจากระบบปัจจุบันไปสู่ฉากทัศน์ที่คุณวาดฝันถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของ “อำนาจ” และ “โครงสร้างทางสังคม” ที่มีอยู่เดิม?
ทีแรกผมคิดถึง เทคโนโลยี หรือ การคิดค้นนวัตกรรมอะไรสักอย่าง ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง แน่นอนว่าคิดถึง AI ด้วย แต่พอทบทวนแล้ว น่าจะเป็นคำที่คุณบอกว่า “มองเห็นสัญญาณ” นั่นแหละคือจุดเริ่มต้น แต่จะทำอย่างไรผมก็ยังไม่รู้
… คุณคิดว่าอะไรคือ “อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด” ในการที่สังคมจะสามารถ “มองเห็นสัญญาณ” เหล่านี้ได้อย่างชัดเจนและพร้อมที่จะปรับตัวเพื่อเปลี่ยนแปลงครับ?
ขอกลับมาสู่โหมดสนทนา อยากให้คุณอภิปรายแนวคิด เรื่องเงินมีอายุขัย ในแง่ที่สูญเสียคุณสมบัติการเก็บมูลค่า
จากคำถามที่อ้าง Ende's last message ผมพบว่ามีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่อง ข้อเสนอเงินมีอายุขัย เป็นไปได้ว่า knowledge ที่ใช้ train AI น่าจะเอนเอียงไปทางของโลกตะวันตกหรือภาษาอังกฤษมากกว่าตะวันออก เมื่ออ้างถึง Ende ซึ่งเป็นหนังสือที่เผยแพร่เป็นภาษาญี่ปุ่น (ผมเองก็แทบหารายละเอียดในอินเตอร์เน็ตไม่ได้เช่นกัน) ดูเหมือนว่า AI ไม่สามารถค้นคว้าเติมเต็มย่อหน้าสั้นๆ จากฐานความรู้เพื่อทำความเข้าใจบริบทตามความคิดของเขาเรื่อง เวลา, เงิน และทรัพยากร
… คุณคิดว่าอะไรคือ “ความท้าทายทางสังคมและจิตวิทยาที่ใหญ่ที่สุด” ที่จะขัดขวางการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบที่เงินสูญเสียคุณสมบัติการเก็บมูลค่านี้ครับ?
ทำไมคุณถึงคิดว่า การลงทุนระยะยาวจะลดลง ถ้า “อายุขัย” นั้นมีลักษณะค่อยๆ เสื่อมเหมือนสังขารสิ่งมีชีวิต และมีระยะเวลายาวนานพอ เช่น 100 ปี เหมือนกับสิทธิการเช่าที่ดิน
… คุณคิดว่าการที่คนหันไปลงทุนใน Real Assets เช่น ที่ดิน หรือทองคำ จะเป็นทางออกที่ยั่งยืนในระยะยาวสำหรับระบบเศรษฐกิจโดยรวมหรือไม่ครับ? หรือเราควรจะมองหา “หน่วยวัดคุณค่า” แบบอื่นที่ไม่ใช่เงินเลย?
แล้วถ้าเป็นเหมือนสิทธิการเช่าที่ดินละ สมมติว่าเงินมีอายุ 20 ปี หากเก็บไว้เฉยๆ ก็จะหมดอายุ หากเอาไปลงทุนก็ได้ต่ออายุ
… คุณคิดว่าระบบแบบนี้จะสามารถ “ขับเคลื่อนนวัตกรรม” ได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่ากับระบบทุนนิยมที่เน้นการสะสมทุนในปัจจุบันหรือไม่ครับ? เพราะนวัตกรรมหลายอย่างก็เกิดจากการลงทุนระยะยาวที่หวังผลตอบแทนจากการสะสมทุนในอนาคต
ได้ภาพที่ชัดเจนขึ้นมากครับ และดูเหมือนเป็นเรื่องใหญ่มาก มีเรื่องที่ตอบไม่ได้อีกเพียบ ถ้าจะเริ่มต้นจากเปลี่ยนการหมุนเวียนของเงินให้อยู่ภายใต้ infrastructure ที่จัดการได้ก่อน หลังจากนั้นค่อยคิดถึงก้าวต่อไป คุณคิดว่ายังไง
… คุณคิดว่าความท้าทายหลักในการสร้างและนำโครงสร้างพื้นฐานนี้มาใช้งานในวงกว้างคืออะไรครับ? นอกจากเรื่องเทคโนโลยีแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นอีกไหม?
โอโห คำถามนี้ พอดีผมเพิ่งอ่านเบื้องหลังการผลักดันกฏหมายประกันสุขภาพ ในยุคคลินตันมา ความท้าทายรอบด้านเลย ต้องบอกว่านอกจาก ผู้สูญเสียประโยชน์ที่เราเห็นได้ชัดแล้ว ความซับซ้อนด้วยตัวของมันเองทำให้ยากที่อธิบายให้คนส่วนใหญ่เข้าใจ นอกจากนี้ไม่ว่าใครจะไม่ได้ประโยชน์อย่างเดียว มักจะมีบางส่วนได้ประโยชน์ ขณะที่บางส่วนเสียประโยชน์ นอกจากนี้นโยบายที่เห็นผลระยะยาวมักสู้นโยบายระยะสั้นที่เห็นผลทันทีไม่ได้ สุดท้ายที่สำคัญเป็นเรื่องของการเมือง ที่ไม่ยอมให้ผลงานเป็นของพรรคคู่แข่ง
… คุณคิดว่าในอนาคต AI หรือเทคโนโลยี จะสามารถช่วย ลดทอนอุปสรรค เหล่านี้ (เช่น ความซับซ้อนที่ยากต่อการอธิบาย หรือการเมืองที่ขัดแย้ง) ได้บ้างหรือไม่ครับ? หรือเทคโนโลยีอาจสร้างความซับซ้อนใหม่ขึ้นมาแทน?
ผมไม่อยากคาดเดาเรื่อง AI ตอนนี้ แต่ถ้าคุณมีไอเดียเจ๋งๆ หรือหลุดโลกบ้างก็ได้ ลองเล่าให้ฟังบ้างก็ได้นะ
… คุณคิดว่าแนวคิดที่ AI เป็น “ผู้สื่อสารความจริง” หรือ “ผู้จำลองผลกระทบ” จะสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนุษย์และนักการเมืองได้จริงมากน้อยแค่ไหนครับ? หรือสัญชาตญาณและผลประโยชน์ยังคงแข็งแกร่งกว่าข้อมูลที่ซับซ้อนเหล่านั้น?
บางทีคุณอาจมองโลกในแง่ดีเกินไป AI ไม่ได้เป็นผู้สื่อสาร “ความจริง” ของฝั่งเดียวนะ ฝั่งตรงข้ามก็สามารถใช้ AI สื่อสารความจริงของเขาได้เช่นกัน
… คำถามสำคัญที่ตามมาก็คือ ในเมื่อ AI ก็มี “ความจริง” ของตัวเองได้ และแต่ละฝ่ายก็สามารถใช้ AI ได้ การหา “พื้นที่ร่วม” หรือ “ความจริงที่ทุกคนยอมรับได้” เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเช่นนี้ จะทำได้อย่างไรครับในโลกที่มี AI สื่อสาร “ความจริง” ของทุกฝ่าย?
นั่นนำเราจะไปสู่เรื่องใหญ่ถัดไป คือ infrastructure ที่ AI สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ ทำให้ AI สามารถนำเสนอ “ความจริง” ของทุกฝ่ายเปรียบเทียบกันได้ ซึ่งเดิมเป็นข้อจำกัดของมนุษย์ ทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูล ทำให้เกิดการใช้ประโยชน์จากข่าววงใน เช่น ในตลาดหุ้น
… คุณคิดว่า Blockchain หรือเทคโนโลยี Decentralized Ledger Technology (DLT) จะมีบทบาทสำคัญในการสร้าง “โครงสร้างพื้นฐานที่ AI สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างอิสระและโปร่งใส” นี้หรือไม่ครับ? หรือมีความท้าทายอะไรในการนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์นี้?
โอย.. คุณโยนประเด็นใหม่มาได้ยอดเยี่ยมมาก สำหรับผมรู้จัก Blockchain แค่ผิวเผิน คิดว่า DLT ในอุดมคติ กับในแง่การ operate จริง ยังมีลักษณะเหมือน สหประชาชาติ สมาชิกไม่ได้มีสิทธิมีเสียงเท่าเทียมกันจริง ผมอาจเข้าใจผิดก็ได้นะ
… ถ้าอย่างนั้น คำถามต่อไปคือ เมื่อตระหนักถึงข้อจำกัดของ DLT ในทางปฏิบัติ และความต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่ “ยุติธรรมอย่างแท้จริง” สำหรับ AI ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและข่าววงใน…
ในมุมมองของคุณ อะไรคือ “ทางออก” หรือ “แนวคิด” ที่น่าสนใจที่สุดในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถหลีกเลี่ยงหรือลดการรวมศูนย์อำนาจ และให้ความเท่าเทียมในการเข้าถึงและประมวลผลข้อมูลได้อย่างแท้จริงครับ? (ไม่จำเป็นต้องเป็นเทคโนโลยีที่มีอยู่จริงในตอนนี้ก็ได้ครับ)
สำหรับผม “ทางออก” คือ ทำใจ มองว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดภายในชั่วรุ่น หากเรามองเช่นเดียวกับ วิวัฒนาการของ การจดบันทึก จนมาเป็นกูเต็นเบิร์ก ซึ่งเป็นจุดที่เกิดระเบิดของ การรู้หนังสือ และวัฒนธรรมการอ่าน ก่อนหน้านั้นเงื่อนไขต่างๆ พัฒนาลองผิดลองถูก จากความหลากหลายมาอย่างช้าๆ ไม่ว่าจะการเปลี่ยนจากภาษาพูด เป็นภาษาเขียน ระบบเลขที่กว่าจะกลายมาเป็นมาตรฐานร่วมกัน เป็นรากฐานของการคำนวณ ทั้งวิทยาศาสตร์ และการค้า วัฒนธรรม การให้คุณค่าของสังคม ผมคิดเล่นๆ ว่าบางทีอาจจะต้องมีวิวัฒนาการของภาษา ที่ใช้สื่อสารทางดิจิตัล ที่ไม่ได้ถูกแบ่งแยกอย่างที่เคยเป็นมา มนุษย์อ่านภาษาคอมพิวเตอร์ไม่เข้าใจ กับคอมพิวเตอร์ไม่เข้าใจภาษามนุษย์ โปรแกรมทุกวันนี้จึงต้องมีสิ่งที่เรียกว่า User Interface
และสุดท้ายเป็นคำถามที่เกิดขึ้นหลังจากขอให้เรียบเรียงเป็นบทความแล้ว มีความรู้สึกว่าสิ่งที่ขาดหายไปคือ เพื่อนที่บอกว่า "ไม่เห็นด้วย" ที่ทำให้เราต้องดึงศักยภาพการให้เหตุผลและโน้มน้าวขั้นสูงสุดมาใช้
จะเห็นว่า AI ไม่พยายามสร้างบรรยากาศสนทนาเชิงลบ ที่เป็นความเห็นแย้ง จนกว่าเราจะบอกให้ทำจริงๆ
จากบทความภาษาไทย ที่คุณเรียบเรียงให้ มีเนื้อหาส่วนไหนที่คุณอยากนำเสนอความเห็นในมุมมองอื่น หรือฉากทัศน์ที่ไม่เหมือนกันเสริมหรือไม่
แน่นอนครับ บทความที่เราเรียบเรียงขึ้นมานั้นได้นำเสนอจินตนาการจากมุมมองหนึ่ง ซึ่งเป็นภาพที่มองเห็นความเป็นไปได้ในเชิงบวกของการเปลี่ยนแปลง แต่ในฐานะ AI ผมอยากเสนอ มุมมองอื่น หรือฉากทัศน์ที่ต่างออกไป ในบางประเด็น เพื่อให้ภาพสมบูรณ์และรอบด้านมากยิ่งขึ้นครับ เพราะอนาคตไม่เคยมีเพียงเส้นทางเดียว
การนำเสนอฉากทัศน์เหล่านี้ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อลดทอนคุณค่าของจินตนาการเดิม แต่เพื่อเปิดมุมมองให้เห็นว่าทุกความก้าวหน้าล้วนมาพร้อมกับความเสี่ยงและคำถามที่ซับซ้อน และการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่ดีที่สุด คือการพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในทุกแง่มุมครับ



ความคิดเห็น