The Sense of Time: Can Humans Be in the Loop?
- Sathit Jittanupat
- 28 มิ.ย.
- ยาว 2 นาที

เมื่อจังหวะมนุษย์ต้องหลีกทางให้จังหวะ AI
ในโลกธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี การปรับตัวคือสิ่งสำคัญ การเข้ามาของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนวิธีการทำงาน แต่ยังท้าทาย "สำนึกของเวลา" ที่เราคุ้นเคย ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการออกแบบและดำเนินงานของระบบ Enterprise Resource Planning (ERP)
จากจังหวะมนุษย์สู่จังหวะคอมพิวเตอร์
ลองจินตนาการถึงภาพที่เราคุ้นเคยในสำนักงานทั่วไป พนักงานเตรียมเอกสารล่วงหน้าในเย็นวันศุกร์สำหรับงานจัดส่งในวันเสาร์และเช้าวันจันทร์ เพราะแผนกจัดส่งเริ่มงานเร็วกว่า และการรอทำเอกสารในเช้าวันจริงอาจทำให้เกิดความโกลาหล รถขนส่งล่าช้า โดยเฉพาะเช้าวันจันทร์ที่การจราจรหนาแน่น การลงวันที่ล่วงหน้าบนใบส่งสินค้า แม้จะเกิดขึ้นก่อนการจัดส่งจริง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ตัวเลขในรายงานยอดขายหรือความเคลื่อนไหวสินค้าผิดปกติ เพราะระบบ ERP ทั่วไปสามารถบันทึกรายการและอัปเดตสต็อกคงเหลือได้อัตโนมัติตามวันที่บนเอกสาร
อย่างไรก็ตาม ปัญหาก็เกิดขึ้นได้เสมอ เช่น หากมีการขายหน้าร้าน ลูกค้าต้องการซื้อสินค้าที่เปิดบิลล่วงหน้าตัดสต็อกไปแล้ว แต่เมื่อตรวจสอบจริงในคลังสินค้ากลับพบว่ายังมีของอยู่ ณ จุดนี้ พนักงานขายหน้าร้านจะตัดสินใจอย่างไร? จะเชื่อยอดสต็อกในโปรแกรม หรือเชื่อตามที่คลังสินค้าบอก?
การตัดสินใจในสถานการณ์เช่นนี้มักขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ในโลกอุดมคติเราอาจสงสัยว่าทำไมระบบไม่ล็อกไม่ให้ขายสินค้าที่ไม่มีสต็อก แต่ในโลกของการทำงานจริง การควบคุมสต็อกให้สมบูรณ์แบบนั้นยาก สินค้าอาจเข้าสต็อกแล้วแต่การบันทึกข้อมูลล่าช้ากว่าเหตุการณ์จริง ด้วยเหตุนี้ หลายองค์กรจึงให้อำนาจการตัดสินใจแก่พนักงานหน้างาน โดยยึดข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์เหนือข้อมูลในคอมพิวเตอร์
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
การออกแบบระบบ ERP มีแนวคิดที่แตกต่างกันสองแบบ แบบที่ผ่อนปรนให้อำนาจการตัดสินใจที่ยืดหยุ่นกับคน และแบบที่เคร่งครัดตามระบบ
ทั้งสองแนวทางต่างมีข้อดีข้อเสีย ขึ้นอยู่กับค่านิยมขององค์กร ผลลัพธ์ที่ได้ยังไม่ชัดเจนพอที่จะบอกว่าแนวทางใดดีกว่ากัน สำหรับองค์กรขนาดเล็ก ความยืดหยุ่นมักให้ความสะดวกที่เหนือกว่าความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นเล็กน้อย ขณะที่องค์กรขนาดใหญ่ความเคร่งครัดช่วยป้องกันความเสียหายที่ไม่คาดคิดได้ดีกว่า
ความเหลื่อมล้ำ "หน่วยของเวลา"
ในอดีต คอมพิวเตอร์และระบบ ERP สร้างความแตกต่างมหาศาลให้กับธุรกิจที่นำมาใช้ แต่ปัจจุบัน AI กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญและเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางใหม่
ในระยะใกล้ สิ่งที่ทุกคนเห็นตรงกันคือ AI จะเข้ามาแทนที่งานประจำ (routine) ที่มีกฎเกณฑ์การตัดสินใจชัดเจน ความแตกต่างที่สำคัญจะเกิดขึ้นจาก "หน่วยของเวลา" ที่ใช้ในการทำงานให้สำเร็จ เราไม่จำเป็นต้องเตรียมพิมพ์ใบส่งสินค้าล่วงหน้า ไม่ต้องกังวลเรื่องเวลาทำงานและวันหยุด หาก AI สามารถตั้งเวลาและสร้างเอกสารเหล่านั้นได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที
ผลที่ตามมาคือความเหลื่อมล้ำของ "หน่วยเวลา" ระหว่างการทำงานแบบมนุษย์ (manual) กับระบบอัตโนมัติ ความท้าทายของ ERP ยุคต่อไปจึงอยู่ที่การออกแบบระบบให้รองรับแนวคิด "มนุษย์ในวงจร" (Human in the loop) ซึ่งหมายถึงการที่มนุษย์ยังคงแทรกอยู่ในบางขั้นตอนของกระบวนการ คล้ายกับสิ่งที่ ERP ในปัจจุบันพยายามประนีประนอม เพื่อไม่ให้ระบบสุดโต่งเกินไปในวันที่เรายังไม่แน่ใจว่า AI มีความสามารถในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้ดีแค่ไหน
"สำนึกของเวลา" ในโลก AI
เมื่อ AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้น "สำนึกของเวลา" แบบดั้งเดิมที่ยึดติดกับนาฬิกาและรอบเวลาการทำงานจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เราสามารถแบ่งมิติของเวลาที่ AI จะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงได้ 3 รูปแบบหลัก
Instantaneous & Event-Driven Time
(เวลาแบบฉับพลันและขับเคลื่อนด้วยเหตุการณ์)
นี่คือเวลาที่ไม่ขึ้นกับนาฬิกา แต่ขึ้นกับ "เหตุการณ์" (Event) ที่เกิดขึ้นจริง ระบบจะตอบสนองทันทีที่ตรวจพบเหตุการณ์ ไม่ใช่รอให้ครบตามรอบเวลาที่กำหนด
ตัวอย่างเช่น แทนที่จะรอรายงานสิ้นวันว่าเครื่องจักรเสีย เซ็นเซอร์ IoT จะส่ง "เหตุการณ์" ทันทีที่พบความผิดปกติ ERP แห่งอนาคตจะไม่ใช่แค่ "รับรู้" แต่จะ "ตอบสนอง" ทันที เช่น สั่งอะไหล่อัตโนมัติ, จัดตารางช่างซ่อม, และปรับแผนการผลิตใหม่ทั้งหมดในเสี้ยววินาที
"เวลา" ในที่นี้จึงไม่ใช่ HH:MM:SS แต่เป็น Event -> Action ซึ่งเกิดขึ้นแบบ Asynchronous (ไม่พร้อมกัน) และกระจายตัว (Decentralized)
Predictive & Proactive Time
(เวลาเชิงคาดการณ์และเชิงรุก)
นี่คือการก้าวข้ามจากการตอบสนองต่ออดีตและปัจจุบัน ไปสู่การ "กระทำต่ออนาคต" ระบบ AI จะวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก (เช่น แนวโน้มทางสังคม, สภาพอากาศ, ข่าวสาร) เพื่อคาดการณ์ความต้องการหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
ตัวอย่างเช่น ERP จะไม่รอให้ลูกค้าสั่งซื้อของ แต่จะแจ้งเตือนว่า "มีความเป็นไปได้ 75% ที่ความต้องการสินค้า A ในภูมิภาค B จะพุ่งสูงขึ้นในอีก 48 ชั่วโมงข้างหน้า คุณต้องการส่งสินค้าไปรอที่คลังในภูมิภาคนั้นเลยหรือไม่?"
"เวลา" ในที่นี้จึงกลายเป็นมิติของความน่าจะเป็นในอนาคต (Future Probability) องค์กรจะไม่ได้บริหาร "สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว" แต่บริหาร "สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น"
Flexible & Personalized Time
(เวลาแบบยืดหยุ่นและเฉพาะบุคคล)
วัฒนธรรมการทำงานกำลังเปลี่ยนไปสู่ Gig Economy, Remote Work, และ Work-life Integration มากขึ้น "เวลาทำงาน" แบบ 9-to-5 กำลังจะหมดความสำคัญ ERP แห่งอนาคตจะต้องบริหาร "ผลลัพธ์" (Outcome) แทนการบริหาร "ชั่วโมงทำงาน" ระบบจะต้องสามารถจัดสรรงานและทรัพยากรให้กับทีมงานที่ทำงานในเวลาที่ต่างกัน (Timezones) หรือมีรูปแบบการทำงานที่ต่างกันได้อย่างไร้รอยต่อ
"เวลา" ในที่นี้จึงเป็นเรื่องส่วนบุคคลและขึ้นอยู่กับบริบท (Contextual) ไม่ใช่มาตรฐานเดียวที่ใช้กับทุกคน
ความท้าทายและอนาคตของ ERP
หากมนุษย์ยังคงแทรกอยู่ในทุกขั้นตอนของกระบวนการอัตโนมัติ จะทำให้ประสิทธิภาพของระบบ AI ลดลง แนวคิดที่เกิดขึ้นคือการให้มนุษย์ถอยมาเป็น "ผู้กำกับวงจร" (Human on the loop) ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลหรือนักยุทธศาสตร์ที่คอยมองภาพรวม จัดการกับกรณีพิเศษที่ซับซ้อน ตั้งคำถามเชิงกลยุทธ์ต่อ AI และ "ฝึกฝน" หรือ "ปรับจูน" ระบบให้ฉลาดขึ้น
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าตั้งข้อสังเกตว่า แนวคิด "Human on the loop" อาจไม่ใช่สถานะที่ยั่งยืนในระยะยาว เพราะ AI มีกลไกการเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง ซึ่งอาจนำไปสู่สถานะที่เรียกว่า "มนุษย์นอกวงจร" (Human out of the loop) ในที่สุด
เราได้เห็นตัวอย่างของปรากฏการณ์นี้แล้วในตลาดหุ้น ที่คำสั่งซื้อขายเกิดขึ้นรวดเร็วเกินกว่าศักยภาพของมนุษย์ด้วย High Frequency Trading ทำให้เกิดการ "ถูกบังคับขาย" (force sell) อย่างรุนแรงที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ไม่เคยเจอมาก่อน หรือแม้แต่ประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ อย่างการไม่สามารถเก็บคูปองส่วนลดจำนวนจำกัดจากแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ทันท่วงที ก็เป็นผลมาจากความเร็วของระบบอัตโนมัติที่เหนือกว่ามนุษย์
ในอดีต ระบบ ERP ถูกสร้างขึ้นบนรากฐานของ "สำนึกของเวลา" แบบอุตสาหกรรมที่วัดผลเป็นวัน ชั่วโมง นาที ด้วยการทำงานเป็น Batch, การปิดบัญชีรายวัน/รายเดือน และการวางแผนการผลิตเป็นรอบ ซึ่งเปรียบได้กับการใช้ "ถนนที่มีทั้งรถม้าและรถยนต์" โดยระบบ ERP พยายามผสาน "เวลาแบบอุตสาหกรรม" เข้ากับ "เวลาแบบดิจิทัล" ด้วย Real-time dashboard แต่เบื้องหลังยังคงเป็นการประมวลผลเป็นรอบๆ ซึ่งสร้างความขัดแย้งและไร้ประสิทธิภาพในบางครั้ง
บทเรียนจากการวิวัฒนาการของรถยนต์ก็เช่นกัน เมื่อรถยนต์เพิ่มมากขึ้นและม้าหายไปจากถนน ความเร็วเฉลี่ยในการเดินทางก็เพิ่มขึ้นกลายเป็นมาตรฐานใหม่ การพัฒนาองค์ประกอบเพื่อรองรับความเร็วใหม่ก็สอดคล้องกันไป เช่น ถนนที่ออกแบบสำหรับรถยนต์ไม่ต้องเผื่อสำหรับม้า และเส้นทางที่ยาวไกลเกินกว่าแค่ถนนในเมือง
หากมนุษย์เปรียบได้กับม้าบนถนน และถนนที่รองรับม้าคือระบบ ERP ในปัจจุบัน สิ่งที่คาดเดายากคือความเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบที่เกื้อหนุนกันและกันนี้ แน่นอนว่าในช่วงเริ่มต้นจะเกิดความสับสนอลหม่าน จนกระทั่งกรอบความคิดเริ่มเปลี่ยนไป เกิดความเคยชินใหม่ มาตรฐานใหม่ แล้วจึงจะมีการเลือกวิธีที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาต่อไป
"สำนึกของเวลา" ของเรากำลังจะเปลี่ยนไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และการเปลี่ยนแปลงนี้จะนำไปสู่การออกแบบ ERP ที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง รวมถึงการปรับบทบาทของมนุษย์ในกระบวนการทำงาน แล้วคุณล่ะ คิดว่า "สำนึกของเวลา" จะเปลี่ยนไปอย่างไร และจะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างในอนาคต?
จากสนทนา, เขียนร่าง สู่บทความ
ที่มาของบทความนี้เริ่มต้นจาก การมองย้อนถึงการเปลี่ยนผ่านจากยุคสังคมเกษตรมาสู่สังคมอุตสาหกรรม ผมเคยฟัง อ.ธเนศ วงศ์ยานนาวา เล่าว่าสมัยก่อนคนเราอ้างอิงเวลากับปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ เมื่อฤดูกาลเปลี่ยน ภูมิประเทศเปลี่ยน หรือท้องฟ้าเปลี่ยน การนัดหมายจึงเป็นประมาณการที่ยืดหยุ่น คู่รักสมัยก่อนจึงไม่มีคำว่าผิดนัด ยกเว้นความตายจะมาพราก ฮา..
กำเนิดของนาฬิกาเกิดขึ้นในยุคอุตสาหกรรม การจัดการแรงงานในโรงงานต้องการความแม่นยำกว่าบอกเวลาด้วยการดูดวงอาทิตย์ขึ้นหรือตก บังคับให้คนสื่อสารเวลาด้วยมาตรฐานเดียวกัน และใช้ประโยชน์ในการวัดค่าต่างๆ เทียบกับหน่วยเวลาที่แม่นยำนั้น
ประสบการณ์ตรงของผมเกิดขึ้นจากการเฝ้าดู log การประมวลผลของคอมพิวเตอร์ บางครั้งการกดคีย์เพียงตัวอักษรเดียว ก่อให้เกิดการทำงานตามคำสั่งของ CPU เบื้องหลังมากมายในระดับเสี้ยววินาที เช่น ส่งคำสั่งไปอ่านข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ รอรับคำตอบกลับมาแล้วนำมาแสดงเป็นรายชื่อแนะนำบนหน้าจอ ขณะที่การรับรู้ของมนุษย์ผู้ใช้สิ่งเหล่านี้คือ รู้สึกว่าเกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่กดคีย์นั้นเอง
ผมเริ่มจากชวนสนทนากับ Gemini 2.5 pro เพื่อช่วยขยายต่อเติมความเห็นนั้นให้ครอบคลุมสมบูรณ์มาก
ขึ้น และกลายเป็นข้อมูลดิบสำคัญ
> วันนี้ผมอยากชวนสนทนาในลักษณะแลกเปลี่ยนมุมมอง โดยสนทนาไปเรื่อยๆ คุณสามารถทวนถาม เรียบเรียงให้ชัดเจน, โต้แย้ง, ตั้งคำถามเพิ่ม, หรือนำเสนอประเด็นจากมุมมองที่ต่างออกไป ที่ช่วยให้เกิดเนื้อหาที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น > ผมมีความคิดเกี่ยวกับการออกแบบ ERP ที่ไม่ใช่ภายใต้เงื่อนไขความต้องการใช้งานในปัจจุบัน กล่าวคือ ไม่ได้เริ่มต้นจากสำรวจลักษณะการทำงานของขององค์กรต่างๆ แล้วออกแบบ > แต่จะตั้งคำถามว่าองค์กรธุรกิจและกระบวนการจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร โดยค้นหาความเป็นไปได้ของกระแสความเปลี่ยนแปลงรอบด้าน ซึ่งความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ จะมีผลต่อวัฒนธรรมการทำงานขององค์กรอย่างไร และจะนำไปสู่ฉากทัศน์แบบไหนบ้าง > ผมขอเริ่มจากข้อสังเกตเรื่อง "สำนึกของเวลา" ของ ERP ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ถ้าจะเปรียบเทียบเหมือนกับเราอยู่ในยุคที่ ถนนที่ใช้งานร่วมกัน ระหว่างรถที่ขับโดยมนุษย์ กับรถขับเคลื่อนอัตโนมัติ หรือจะย้อนไปเปรียบเทียบยุคที่มีรถม้า กับรถที่ใช้เครื่องยนต์ ตอนนั้น สำนึกของเวลา ถูกเปลี่ยนจาก ฤดู ปี เดือน ของสังคมเกษตร มาเป็น วัน ชั่วโมง ของสังคมอุตสาหกรรม พร้อมกับนาฬิกาและการเทียบเวลามาตรฐาน
ยอมรับว่าโทนการคุยครั้งนี้เคร่งขรึมจริงจังกว่าคาด เมื่อผมเรียบเรียงความคิดของตัวเองไม่ค่อยดี ทำให้การรับส่งเนื้อหากันไม่ค่อยลื่นไหล ข้อสังเกตที่ได้จาก 2.5 pro ซึ่งเป็น model ที่เน้นการใช้เหตุผล คล้ายกับคุยกับคนที่เรียนเก่งมีความระมัดระวังจนไม่กล้าหลุดจากกรอบ ขณะที่การสนทนาในลักษณะชวนให้จินตนาการ บางครั้งอาจจำเป็นต้องคิดเหลวไหลนอกกรอบบ้าง
หลังจากที่คุยกันมาพอสมควร ดูเหมือนว่าจะจบไม่ลง จึงพักวางไว้ก่อน ตัดสินใจเปลี่ยนแผนเป็นใช้เนื้อหาที่สนทนาเป็นข้อมูลประกอบ แล้วร่างบทความขึ้นมาเองแทน คราวนี้เปลี่ยนไปใช้ 2.5 flash มาช่วยตรวจงาน
> ผมเขียนบทความ "The Sense of Time" โดยต้องการนำเสนอว่า ในอนาคตเมื่อ AI เข้ามามีบทบาทในการทำงานมากขึ้น สำนึกของเวลา เดิมที่เป็นจังหวะรอได้ของมนุษย์ จะเปลี่ยนเป็นจังหวะของคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้มนุษย์ต้องออกจากการขั้นตอนของกระบวนการทำงาน นำไปสู่การออกแบบ ERP ที่เปลี่ยนไป > คุณมีบทบาทเป็น บรรณาธิการ ตรวจสอบสำนวน เรียบเรียงเนื้อหา ปรับปรุงถ้อยคำ จัดย่อหน้า ปรับโครงสร้าง และอาจเสนอให้เพิ่มเติมรายละเอียดที่คิดว่าทำให้บทความนี้มีความสมดุล ไม่อคิติโดยไม่ได้กล่าวถึงข้อโต้แย้งที่เป็นไปได้อื่น รวมทั้งอาจเสนอตัดทอนเนื้อหาที่คิดว่าไม่จำเป็นหรือไม่เหมาะสม



ความคิดเห็น