Real-time Accounting
- Sathit Jittanupat
- 31 พ.ค.
- ยาว 5 นาที
อัปเดตเมื่อ 2 มิ.ย.

เมื่อพูดถึง Real-time Accounting หลายคนอาจนึกถึงเพียงแค่การทำบัญชีที่รวดเร็วขึ้น หรือระบบที่สามารถอัปเดตข้อมูลได้ในทันที แต่สำหรับผมแล้ว นี่ไม่ใช่แค่การปรับปรุงประสิทธิภาพ หากแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งถึงรากฐานของกระบวนการทางธุรกิจและการเงินเลยทีเดียว มันคือการปฏิวัติกระบวนทัศน์ของระบบบัญชีที่เราคุ้นเคยกันมา
ลองจินตนาการย้อนกลับไปในยุคที่ผู้คนเดินทางด้วยม้า ก่อนที่จะมีการประดิษฐ์รถยนต์ขึ้นมา การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นไม่ได้ทำให้การเดินทางเร็วขึ้นเท่านั้น แต่ได้พลิกโฉมทั้งถนนหนทาง เมือง และวิถีชีวิตของผู้คนโดยสิ้นเชิง ในทำนองเดียวกัน การเปลี่ยนผ่านในกระบวนการทางบัญชี จากการใช้คนป้อนข้อมูลมาสู่การใช้เทคโนโลยี ก็ไม่ใช่แค่การทำสิ่งเดิมให้เร็วขึ้น แต่มันคือการเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีทำงานของเราไปอย่างสิ้นเชิง
“Paper-based Accounting”
ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา กระดาษ ได้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางสำคัญในการบันทึกและถ่ายทอดข้อมูล อีกทั้งยังเป็นหลักฐานทางกฎหมายที่สร้างความเชื่อถือทางการค้า แต่กระดาษเองก็เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เราไม่สามารถก้าวเข้าสู่ยุค Real-time ได้อย่างเต็มตัว เพราะระบบบัญชีที่เราคุ้นเคยกันมาถูกออกแบบมาสำหรับโลกของกระดาษ ซึ่งข้อมูลอยู่ในรูปแบบที่นิ่ง (static) ต้องผ่านกระบวนการบันทึกด้วยมือ ต้องมี “งวด” การบัญชีที่ตายตัว ต้องอาศัย “หลักฐาน” ที่จับต้องได้ และต้องมีการ “กระทบยอด” เป็นระยะๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ข้อมูลไม่สามารถไหลเวียนและถูกประมวลผลได้ทันที
แต่เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามาของ อินเทอร์เน็ต และ คลาวด์คอมพิวติ้ง ก็เปรียบได้กับการกำเนิดของถนนหนทางสำหรับรถยนต์ที่มาแทนที่ทางม้าเดิน และพัฒนาเป็นซูเปอร์ไฮเวย์ที่เชื่อมโยงเมืองต่างๆ เข้าด้วยกัน โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเหล่านี้ได้ทำลายข้อจำกัดของกระดาษ และมอบสิ่งใหม่ๆ ให้กับเรา
ความลื่นไหลของข้อมูล (Data liquidity): ข้อมูลสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระและรวดเร็ว
ผลกระทบจากเครือข่าย (Network effects): ระบบต่างๆ สามารถสื่อสารและทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น
ความสามารถในการประมวลผลแบบ Real-time: ข้อมูลสามารถถูกจับ (capture) ได้ตั้งแต่จุดที่เกิดธุรกรรม โดยไม่จำเป็นต้องผ่านคนกลางอีกต่อไป
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ POS systems ที่เชื่อมโยงกับสต็อกสินค้าและบัญชีโดยตรง, การเชื่อมต่อข้อมูลธนาคารแบบอัตโนมัติ (Bank Feeds), หรือการเชื่อมโยงระบบ e-commerce เข้ากับระบบบัญชีผ่าน API integrations ต่างๆ สิ่งเหล่านี้คือ Game Changer ที่แท้จริง ที่ทำให้ข้อมูลไหลเวียนและถูกประมวลผลได้ทันที
“คนกลางที่น่าเชื่อถือ”
เมื่อเราก้าวข้ามข้อจำกัดของกระดาษ คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นคือ เราจะสร้างความเชื่อถือในโลกดิจิทัลได้อย่างไร? เพราะกระดาษเคยสร้างความมั่นใจผ่านหลักฐานที่จับต้องได้ เก็บรักษาได้ และตรวจสอบย้อนหลังได้ง่าย แนวคิดหลักในการสร้างความเชื่อถือในยุคดิจิทัลคือการมี “คนกลางที่น่าเชื่อถือ” (Trusted Intermediary) เป็นผู้ถือข้อมูลดิจิทัล ซึ่งนี่คือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่
ในบางประเทศ เช่น เอสโตเนีย รัฐบาลได้เข้ามาเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและสร้างความเชื่อถือผ่านระบบ X-Road ซึ่งเชื่อมโยงข้อมูลทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าด้วยกัน รัฐบาลเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดในฐานะคนกลางเพราะมีอำนาจทางกฎหมายในการรับรองข้อมูล ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนทางธุรกิจ และมีความคงอยู่ยาวนาน
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ผู้ประกอบการยอมรับและใช้งาน กลไกนี้ต้องมี คุณค่าที่จับต้องได้ (Value Proposition) ที่ชัดเจน ไม่ใช่แค่การ “ส่งข้อมูลให้รัฐ” แต่เป็นการที่ “รัฐช่วยจัดการภาระงานให้” เช่น การสร้างแบบฟอร์มภาษีอัตโนมัติ, การคำนวณภาษีแบบ Real-time, การตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎระเบียบแบบทันที, การจัดการใบเสร็จดิจิทัล, หรือการจัดหมวดหมู่ค่าใช้จ่ายโดยอัตโนมัติ ซึ่งคล้ายกับ Mobile Banking ที่ผู้คนใช้เพราะความสะดวก ไม่ใช่เพราะธนาคารต้องการเก็บข้อมูล สิ่งนี้ยังสร้าง Network Effect เพราะยิ่งคนใช้มาก ระบบยิ่งมีประโยชน์ ทำให้การทำธุรกรรมในเครือข่ายเดียวกันราบรื่นขึ้น
Global Standards vs. Local Compliance
เมื่อพิจารณาในระดับธุรกิจขนาดใหญ่ที่ข้ามพรมแดน (B2B ระดับ Corporate) หรือแพลตฟอร์ม e-commerce ระดับโลก แนวคิดการใช้รัฐนำด้วยกฎระเบียบหรือมาตรฐานอาจมีข้อจำกัด เพราะมันไม่สามารถขยายตัวข้ามขอบเขตของรัฐชาติได้ง่ายนัก ความต้องการของธุรกิจระดับโลกคือ Interoperability (ความสามารถในการทำงานร่วมกัน) มากกว่าแค่ Local Compliance (การปฏิบัติตามกฎหมายท้องถิ่น)
ดังนั้น เราอาจต้องมองไปที่ Hybrid Model ที่ประกอบด้วยสองชั้น
Global Standards Layer: เหมือนกับโปรโตคอลอินเทอร์เน็ต (TCP/IP) ที่ทุกประเทศใช้ร่วมกัน อาจเป็นมาตรฐานสากล เช่น ISO 20022 สำหรับการส่งข้อความทางการเงิน หรือ UN/CEFACT สำหรับเอกสารการค้า ซึ่งองค์กรเอกชนหรือสมาคมผู้ประกอบการระดับโลก (เช่น SWIFT) อาจเหมาะสมกว่ารัฐในการกำหนดมาตรฐานในระดับนี้
National Implementation Layer: แต่ละรัฐนำมาตรฐานสากลเหล่านั้นมาปรับใช้ให้เข้ากับกฎระเบียบท้องถิ่นของตนเอง คล้ายกับภาษี GST/VAT ที่มีแนวคิดสากล แต่แต่ละประเทศมีการนำไปใช้ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างในโลกจริงคือระบบตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งสินค้า ที่มีมาตรฐานสากล แต่แต่ละประเทศก็มีขั้นตอนทางศุลกากรที่แตกต่างกัน
จาก Accounting สู่ Value Stream Monitoring
การที่เราติดอยู่ในกรอบความคิดที่ว่าระบบบัญชีปัจจุบันคือ “ธรรมชาติ” นั้น แท้จริงแล้วมันคือ Paradigm Lock-in ที่ถูกออกแบบมาสำหรับยุคกระดาษ ซึ่งจำกัดวิธีการมองและทำงานของเรา เหมือนกับการที่คนในยุคแรกๆ ของรถยนต์เรียกว่า “รถม้าที่ไม่มีม้า” เพราะยังคงคิดในกรอบของการขนส่งด้วยม้าอยู่
แต่ในโลกดิจิทัล แนวคิดเดิมๆ ของระบบบัญชีอาจไม่จำเป็นอีกต่อไป
ข้อมูลอาจ “Flow” อย่างต่อเนื่อง แทนที่จะต้อง “บันทึก” ไว้
การรายงานอาจเป็น Real-time Dashboard แทนที่จะเป็น “งวด” การบัญชี
หลักฐานอาจเป็น Cryptographic Proof แทนที่จะเป็น “หลักฐานที่จับต้องได้”
การกระทบยอดอาจเกิดขึ้น อัตโนมัติ แทนที่จะต้องทำเป็นระยะ
หากไม่มีข้อจำกัดของกระดาษ เราจะออกแบบระบบ “การติดตาม Value Flow” (Value Stream Monitoring) ได้อย่างไร? แนวคิดนี้คือการมองธุรกิจเป็น เครือข่ายของการไหลเวียน (Network of Flows) แทนที่จะมองเป็นแค่การรวมตัวกันของธุรกรรม
แทนที่จะถาม “เงินอยู่ไหน?” เราจะถามว่า “คุณค่ากำลังไหลไปทางไหน?” (Where is value flowing?)
กระแสเงินสด (Cash Flow) กลายเป็น Stream แบบ Real-time
สินค้าคงคลัง (Inventory) กลายเป็น Dynamic Allocation ที่ปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา
สินทรัพย์ (Asset) กลายเป็น Utilization Metrics ที่บอกประสิทธิภาพการใช้งาน
แทนที่จะ “ปิดบัญชี” เราจะดู “ตัวชี้วัดสุขภาพ” (Health Indicators) ของธุรกิจ เหมือน Vital Signs ของร่างกาย หรือ Performance Metrics ของระบบคอมพิวเตอร์
แทนที่จะทำ “Audit” เราจะดู “ความสมบูรณ์ของกระแส” (Flow Integrity) เหมือน Network Security Monitoring ที่ระบบจะแจ้งเตือนเมื่อพบความผิดปกติ
นี่คือการเปลี่ยนจาก “ถ่ายภาพนิ่ง” เป็น “ดูหนังสด” ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้แต่ละกลุ่มได้รับข้อมูลที่เหมาะสมกับการตัดสินใจของตน
SME Owner: ดู Dashboard เหมือน Fitness Tracker ที่บอกสถานะธุรกิจ
Investor: ดู Performance เหมือน Stock Ticker แต่เป็น Real-time ของบริษัท
Tax Authority: ได้ข้อมูลรวม (Aggregate Data) แทนที่จะเป็นงบการเงินรายบุคคล
Bank: เห็น Cash Flow Prediction แทนที่จะเป็นงบการเงินย้อนหลัง
“เวลานี้” ที่แตกต่างกัน
การบอกความเร็วรถใช้ทำนายไม่ได้ แต่การบอกอัตราเร่งของรถใช้ทำนายได้ ดังนั้น ช่วงเวลา หรือ Period จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คำว่า “เวลานี้” หรือ “ปัจจุบัน” ของแต่ละคนไม่เท่ากัน Real-time จึงไม่ใช่แนวคิดที่ตายตัว (absolute concept) แต่เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับ ความถี่ในการตัดสินใจ (Decision-Making Frequency) ของผู้ใช้งานแต่ละกลุ่ม
สำหรับ CEO: “เวลานี้” อาจหมายถึง Strategic Position ในไตรมาสนี้ หรือ Market Trend ใน 6 เดือนข้างหน้า
สำหรับ CFO: “เวลานี้” อาจหมายถึง Cash Position ณ สิ้นวัน หรือ Monthly Burn Rate
สำหรับ Store Manager: “เวลานี้” อาจหมายถึง Sales ในชั่วโมงนี้ หรือ Inventory Level ณ ตอนนี้
สำหรับ Algorithm/AI: “เวลานี้” อาจหมายถึง Transaction ในมิลลิวินาทีนี้ หรือ Price Movement ใน Microsecond
นี่คือคำถามใหญ่ว่า Real-time Accounting ควรปรับ Temporal Resolution ตาม Context ของผู้ใช้ หรือควรมี Universal Timeframe? หรือว่าคำตอบคือ Multi-Temporal Architecture ที่ระบบเดียวกันสามารถให้ข้อมูลใน Multiple Time Scales พร้อมกันได้?
“Algorithmic Divide” และมุมมองใหม่ของทุนนิยม
เมื่อมองด้วยสายตาของวิวัฒนาการ เรากำลังเปลี่ยนจากระบบที่ขับเคลื่อนด้วยกระดาษ ไปสู่ดิจิทัล และในที่สุดก็จะเป็นระบบที่ขับเคลื่อนด้วยอัลกอริทึม (Algorithm-driven) เราเห็นตัวอย่างนี้แล้วในตลาดหุ้น ที่การซื้อขายความถี่สูง (High-Frequency Trading) เข้ามาครอบงำตลาด ทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยกลายเป็น “Slow Money” และเปลี่ยนโครงสร้างของตลาดไปอย่างสิ้นเชิง
หากสิ่งนี้เกิดขึ้นในระบบนิเวศของการบัญชี เราอาจเห็น
Phase 1: ธุรกิจ SME เริ่มใช้ Real-time Accounting และได้ข้อมูลเร็วขึ้น
Phase 2: บริษัทขนาดใหญ่ใช้ AI วิเคราะห์ Value Streams และตัดสินใจได้เร็วกว่า
Phase 3: อัลกอริทึมเริ่มเข้ามาทำการตัดสินใจอัตโนมัติในด้านการเงิน การผลิต และการลงทุน
ผลที่ตามมาคือ ธุรกิจที่ยังใช้รายงานรายเดือนจะแข่งขันไม่ได้ อาจเกิด “Algorithmic Divide” ซึ่งรุนแรงกว่า Digital Divide ทำให้ SME ที่ไม่ปรับตัวอาจถูก “Out-maneuvered” โดยไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้อาจไม่ได้เป็นไปในทิศทางของ “Winner-Takes-All” เสมอไป โดยเฉพาะหากเราพิจารณาตามทฤษฎีเรื่อง The Changing World Order ของ Ray Dalio ที่ชี้ให้เห็นว่าโลกกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของอำนาจทางเศรษฐกิจ ที่ความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้น และระบบการเงินโลกกำลังหาจุดสมดุลใหม่
หากทฤษฎีนี้เป็นจริง อาจส่งผลต่อกระบวนทัศน์ทางการบัญชีที่เรากำลังถกกัน จากเดิมในระบบทุนนิยมเสรีที่เน้นการทำกำไรสูงสุด ซึ่ง Real-time Accounting จะเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและทำให้ผู้ที่ใช้อัลกอริทึมชนะ
แต่ในระบบที่กำลังเปลี่ยนไป เราอาจต้องหันมาคิดถึง Stakeholder Capitalism (ทุนนิยมที่คำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย) มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ ESG metrics (Environmental, Social, Governance) กลายเป็นส่วนหนึ่งของการ “ติดตาม Value Stream” แบบ Real-time ด้วย อัลกอริทึมอาจจะต้องปรับให้มีการประมวลผลและสร้างคุณค่าหลายตัวแปรพร้อมกัน ไม่ใช่แค่กำไร แต่รวมถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมด้วย
ในสถานการณ์เช่นนี้ Real-time Accounting อาจกลายเป็นเครื่องมือเพื่อ Transparency (ความโปร่งใส) ที่สำคัญยิ่งกว่าการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน รัฐบาลอาจมีบทบาทในการบังคับให้มีการเปิดเผยข้อมูลแบบ Real-time เพื่อการบริหารจัดการความเสี่ยงเชิงระบบ (Systemic Risk Management) ซึ่งคล้ายกับ Stress Tests ที่ธนาคารต้องทำ แต่จะเป็นในรูปแบบที่ต่อเนื่องและทันที
เราจะร่วมกำหนดทิศทางนี้หรือไม่?
Real-time Accounting อาจไม่ได้เป็นแค่เทคโนโลยีใหม่ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่อาจส่งผลต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมในระดับลึก คำถามคือ เราจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นเอง หรือจะมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ ซึ่งอาจนำไปสู่ระบบที่โปร่งใสและยั่งยืนมากขึ้น หรือกลับกัน อาจเป็นโลกที่ความเหลื่อมล้ำเชิงข้อมูลรุนแรงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน?
จากสนทนา สู่บทความ
ครั้งนี้เป็นการคุยกับ AI ที่ใช้เวลาหลายวัน เพื่อค้นหาคำตอบที่สับสนของตัวเองเกี่ยวกับ Immutable evidence ตามอุดมคติที่กลายเป็นลงโทษกับความผิดพลาดพลั้งเผลอที่เป็นธรรมชาติมนุษย์ ด้วยความยุ่งยากกับการปฏิบัติจริงในโลกบัญชี เช่น ใบกำกับภาษีเมื่อส่งมอบไปแล้วไม่สามารถแก้ไข จะต้องยกเลิกหรือลดหนี้และออกใบใหม่
วิธีคิดเช่นนี้ อาจเริ่มต้นมาจากกฎระเบียบตั้งแต่ยุคสมัยที่เขียนบิลด้วยมือ และบิลนั้นก็เป็นเล่มมีเลขที่ประจำชุดมาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งต่อมาแทบไม่มีใครทำเช่นนั้นอีกแล้ว
เมื่อการแก้ไขและพิมพ์บิลซ้ำใหม่ด้วยคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องง่ายดาย ดังนั้นหลักฐานที่รับรู้กันเองระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย จึงสามารถแก้ไขข้อผิดพลาดและทำซ้ำแทนที่ได้สะดวกกว่าที่จะยกเลิกแล้วออกใบใหม่ ตราบใดที่ยังไม่มีคนกลางมาร่วมรับรู้
E-Tax Invoice เป็นตัวอย่างที่ก่อให้เกิดปัญหากับความเคยชินใหม่ของบัญชีคอมพิวเตอร์ รอบการรับรู้ของคนกลางถูกเร่งให้เร็วขึ้น จนความสะดวกสบายที่เกิดจากการพลิกแพลงใช้เทคโนโลยีถูกจำกัดไม่เหมือนเดิม
ผมลองคุยกับ Claude (Sonnet 4) แต่ด้วยข้อจำกัดการใช้งานของ free plan และการปรับเปลี่ยนสไตล์การสนทนา ทำให้ต้องหยุดพักเป็นระยะ ด้วยความรู้สึกส่วนตัวแล้วชอบการตอบคำถามที่กระชับ และการตั้งคำถามกลับที่แหลมคม กลายเป็นโยนคำถามใส่กัน ทำให้ต่อประเด็นกันไปไกล แต่เมื่อขอให้เรียบเรียงเนื้อหาที่สนทนามาเป็นบทความ ความกระชับนั้นกลับทำให้สูญเสียรายละเอียด หรืออีกนัยหนึ่งเป็นเพื่อนคุยที่ดีไม่พล่ามเวิ่นเว่อ แต่อย่าให้ช่วยเขียนเรียบเรียง จะออกแนวห้วนสั้นกระชับเกินไป
ผมจึงเอาบันทึกสนทนาทั้งหมด โยนกลับมาให้ Gemini ช่วยเรียบเรียงเป็นบทความอีกทีหนึ่ง แม้จะไม่สมบูรณ์นัก แต่ก็สามารถเก็บรายละเอียดได้ดีกว่า
ผมอยากชวนสนทนาเรื่องแนวคิด “Real time accounting” โดยเริ่มจากแลกเปลี่ยนมุมมอง นิยามของมัน เพื่อแยกแยะว่าอะไรที่ใช่ อะไรที่ไม่ใช่ ภายใต้บริบทอะไรบ้างที่ทำให้เกิดนิยามไม่เหมือนกัน เช่น ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของ ERP หรือเป็นระบบอิสระ ในสภาวะแวดล้อมของ SME หรือ enterprise หรือ สำนักบัญชีอิสระ เราจะใช้วิธีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันไปเรื่อยๆ คุณสามารถโต้แย้งหรือสอบถามประเด็นที่ผมนำเสนอแล้วไม่เคลียร์ รวมทั้งเสริมรายละเอียดที่ตกหล่น โดยยังไม่จำเป็นต้องสรุปให้ครอบคลุมทั้งหมดในคำตอบเดียว
AI แสดงความคิดเห็นกว้างๆ เพื่อหยั่งท่าทีว่าผมต้องการสนทนาแนวไหน แล้วถามกลับว่า
คุณมองว่า “real-time” ในบริบทนี้ควรหมายถึงอะไร? และคุณเห็นด้วยไหมว่าความหมายมันแตกต่างกันไปตาม context ที่ใช้งาน?
ผมคิดถึง “Real-time” ในแง่ของการเปลี่ยนกระบวนการด้วยเทคโนโลยี เทียบเคียงกับสมัยก่อนเราเดินทางด้วยการใช้ม้าหรือสัตว์เป็นพาหนะ แล้วก็มีการประดิษฐ์รถ ในกระบวนการทางบัญชี หมายถึงการเปลี่ยนวิธีนำเข้าข้อมูล จากเดิมที่เราต้องใช้คนป้อนข้อมูล กลายเป็นใช้เทคโนโลยีแทน
เริ่มต้นด้วยคำชมคู่สนทนา (อย่าหลงกล) แสดงความคิดเห็นแล้วถามกลับ
แต่ผมอยากถามว่า ในมุมมองของคุณ เทคโนโลยีใดบ้างที่คุณมองว่าเป็น game changer ที่แท้จริงสำหรับ Real-time Accounting? และมีข้อจำกัดใดบ้างที่ยังทำให้เราต้องมีคนมาช่วยในกระบวนการ?
เพราะผมคิดว่าแม้เทคโนโลยีจะพัฒนาไปแค่ไหน ก็ยังมีหลายจุดที่ human judgment จำเป็น
ใช่ครับ ผมคิดถึงเปลี่ยนแปลงที่รากฐาน มีหลายเรื่องที่ผมยังไม่สามารถเรียบเรียงได้ดี ที่จริงแล้วอาจเริ่มต้นจากแนวคิดเก่าเรื่องของ paperless office เมื่อทุกคนสามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ได้ แต่พอมาใช้กับ accounting มันใหญ่กว่านั้น เหมือนกับวิวัฒนาการของ ถนนสำหรับรถ มาแทนที่ถนนสำหรับม้า แล้วกลายเป็นถนนเชื่อมระหว่างเมือง ซูเปอร์ไฮเวย์ ในกรณีของข้อมูลก็คือ อินเตอร์เน็ต และคลาวด์คอมพิวติ้ง ผมคิดถึงกระดาษ ในฐานะของสื่อหรือตัวกลางที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดข้อมูลมาหลายศตวรรษ และถูกใช้เป็นหลักฐานตามกฏหมาย ก่อให้เกิดเครดิตหรือความเชื่อถือทางการค้าระหว่าง แต่ตัวกระดาษเองเป็นอุปสรรคสำคัญของการเข้าสู่ Real-time
ชมแล้วเสริมรายละเอียด ช่วยเรียบเรียงให้ประเด็นชัดเจนขึ้น
แต่ผมสงสัยว่า ในแง่ของความเชื่อถือ เราจัดการกับการสูญเสีย “ความแน่นอน” ของกระดาษอย่างไร? กลไกใดที่มาทดแทนความเชื่อถือที่กระดาษเคยให้?
เกมใหญ่ เรื่องความเชื่อถือใหม่ ที่จะมาแทนที่กระดาษ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร ประการแรก รัฐต้องรับรอง เหมือนกับยุคแรกที่ยอมให้รถวิ่งร่วมกับม้าได้ ผมคิดว่าการยอมรับไฟล์ pdf ก็เป็นการเริ่มต้นที่ประนีประนอม ขณะเดียวกันปัญหาความเหลื่อมล้ำของระบบคอมพิวเตอร์ ที่กิจการใช้แตกต่างกันมาก ก็ทำให้ไม่สามารถผลักดันให้คืบหน้าไปได้ไกลกว่านี้ ที่จริงผมเคยตั้งคำถามเกี่ยวกับภาระ บัญชีภาษีของกิจการ ทำไมรัฐไม่มองว่าระบบบัญชีคอมพิวเตอร์เป็นเหมือน สาธารณูปโภคพื้นฐานของภาคธูรกิจ ที่รัฐต้องลงทุนให้ทุกกิจการมีใช้สำหรับทำบัญชีภาษีเพื่อมีมาตรฐานขั้นต่ำเท่าเทียมกัน และทำอย่างไรไม่เป็นภาระสำหรับผู้ประกอบการขนาดเล็กที่ไม่รู้บัญชี
คราวนี้ต่อยอด ตั้งคำถาม โยนข้อมูลใหม่มาหยั่งท่าที
แต่ผมสงสัยว่า หากรัฐจะเข้ามาจัดหา “accounting infrastructure” เป็น public utility มันจะเป็นไปได้มั้ย? เพราะการทำบัญชีแต่ละธุรกิจมีความซับซ้อนที่แตกต่างกัน
หรือว่าทางออกอาจอยู่ที่การที่รัฐกำหนดมาตรฐานข้อมูลที่ชัดเจน แล้วปล่อยให้ private sector แข่งขันกันพัฒนา solution?
ในบางประเทศ เช่น เอสโตเนีย พวกเขาทำ digital-first approach ตั้งแต่ระดับรัฐบาล คุณคิดว่าแนวทางแบบนั้นจะใช้ได้กับบริบทไทยมั้ย?
น่าสนใจ ช่วยเล่ารายละเอียดของ เอสโตเนีย ให้ผมหน่อยครับ ส่วนเรื่องที่คุณเสนอผมก็เคยคิดทำนองนั้นว่า project ให้รัฐเป็นเจ้าภาพทำหน้าที่กำหนด standard แล้วให้เอกชนที่มีศักยภาพ เช่น ธนาคารทั้งหลาย เป็นผู้พัฒนา solution
หาข้อมูลเอสโตเนียมาให้ แล้วตั้งคำถามต่อ
คุณคิดว่าโมเดลแบบนี้จะใช้ได้กับไทยมั้ย? โดยเฉพาะในเรื่อง culture และ trust ระหว่างภาครัฐกับเอกชน?
ใช่ครับ อยากใช้คำว่า ฝันเห็นอย่างนั้นเลย แต่ก็ต้องยอมรับความจริง การไปให้ถึงจุดนั้นต้องแลกกับวัฎจักรการล่มสลาย แล้วก่อร่างสร้างใหม่ โดยไม่พะวักพะวงกับการรักษาสิ่งเก่า เช่นเดียวกับหลายครั้งในประวัติศาสตร์โลก สมมติว่าเราเลือกหนทางประนีประนอมในการเปลี่ยนผ่าน คุณมีไอเดียหรือตัวอย่างที่น่าสนใจอีกไหม
หาข้อมูลมาให้อีก พร้อมทั้งตั้งคำถามชี้นำ
หรือในบริบทไทย อาจเริ่มจากการให้ธนาคารพัฒนา accounting features ใน mobile banking app? เพราะ SME ส่วนใหญ่มี banking app อยู่แล้ว
คุณมองว่าจุดเริ่มต้นที่เป็นไปได้มากที่สุดคืออะไร?
ผมเคยคิดเล่นๆ ว่าถ้าหากให้ e-commerce platform ต้องมี accounting feature ด้วย น่าจะมีผู้ประกอบการอยู่จำนวนหนึ่งเลย ที่เป็น 100% online
ชมอย่างแนบเนียน ด้วยการเสริมข้อมูลสนับสนุน ยังมีบางจุดที่เหลื่อมกับกรอบที่ผมคิด
แต่ที่น่าสนใจคือ เมื่อ e-commerce platform รู้ข้อมูล inventory, sales, refunds ทั้งหมด มันอาจทำ accounting ได้ดีกว่า traditional accounting software เสียอีก เพราะ context ครบ
คุณคิดว่าควรเป็น mandatory feature หรือให้เป็น optional แล้วใช้กลไก incentive อื่น เช่น ลดค่าธรรมเนียม platform ถ้าใช้ accounting feature?
ผมเชื่อว่าสำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือธุรกิจที่ทำคนเดียว ต้องการลดภาระงานบัญชีเพื่อนำส่งภาษีให้สรรพากร มากกว่าใช้ข้อมูลบัญชีเพื่อบริหาร สมมติว่ารัฐเป็นเจ้าภาพพัฒนาระบบตัวกลางเสมือนเป็น gateway ที่มี accounting feature และใช้เชื่อมต่อกับ platform ต่างๆ อีกทีหนึ่ง
ผมเริ่มตามไม่ทัน ไม่เข้าใจคำถาม
รัฐจะ maintain ได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของ e-commerce platforms หรือไม่?
Privacy concerns — รัฐจะรู้ข้อมูลธุรกิจทั้งหมด
จะจัดการกับ offline transactions อย่างไร?
คุณคิดว่า gateway นี้ควรเป็น mandatory สำหรับ platform ขนาดใหญ่มั้ย หรือใช้วิธี opt-in?
อืม.. ผมไม่เคยคิดถึงตรงนี้ น่าจะบังคับ platform ขนาดใหญ่ ให้ทำ API มาตรฐานสำหรับธุรกรรม คล้ายกับสิงคโปร์ แต่ต้องให้ผู้ประกอบการเลือกจากจะยินยอมหรือไม่ ดังนั้นจึงต้องใช้มุมมองแบบธนาคารที่ทำ mobile banking จะต้องทำให้รู้สึกว่า ได้ประโยชน์มากกว่าแค่ส่งข้อมูลให้รัฐ มีประเด็นหนึ่งที่ผมอยากจะชี้ว่า นี่คือคำตอบว่า ความเชื่อถือที่สามารถใช้แทนกระดาษ คือการมีกลไกคนกลางที่น่าเชื่อถือเป็นผู้ถือข้อมูลดิจิตัลนั้นด้วย
พาเลี้ยวกลับมาเข้าประเด็น แล้วเจอตั้งคำถามต่อยอด
คุณคิดว่า trust model นี้จะ scale ไปถึง B2B transactions ได้มั้ย?
เป็นคำถามที่ดีมาก ผมเคยคิดถึง B2B แล้วพบว่าเมื่อขยายออกไประดับ corporate ใหญ่ ที่ข้ามพ้นการเป็นประเทศ เราอาจต้องการมาตรฐานในระดับสากล ที่เกินกว่าขอบเขตของรัฐชาติ ซึ่งมีความเป็น localization เช่น กรณี platform e-commerce การทำ localized tax accounting สำหรับแต่ละประเทศ น่าจะเป็นเรื่องที่อยู่ลำดับท้ายๆ ของ feature ที่ต้องมี นั่นทำให้ผมรู้สึกว่าแนวคิดการใช้รัฐนำด้วยกฏระเบียบหรือมาตรฐาน อาจมีข้อจำกัดไม่สามารถสเกลไปได้เพราะติดกำแพงของตัวเอง หรือว่าคุณมีไอเดียที่จะแลกเปลี่ยน?
คราวนี้ผมพาออกทะเล คุยได้ลึกทุกประเด็น
หรืออาจจะต้องมี “Digital Trade Corridors” ระหว่างประเทศที่มี bilateral agreements เหมือน free trade zones?
คุณคิดว่า private sector (เช่น Big Tech หรือ financial institutions) จะมีบทบาทมากกว่ารัฐใน global layer มั้ย? หรือจะต้องมี new form of international governance?
คุณตั้งคำถามชวนคิด และพาผมมาไกลมากจริงๆ ประเด็นเรื่อง global vs local ทำให้ผมติดลูปตัวเอง จนต้องแยกมองว่าเป็นบริบทที่ต่างกัน และไม่มีคำตอบที่ดีที่สุดคำตอบเดียวสำหรับทั้งคู่ ผมอยากจะย้อนกลับไปจุดเริ่มต้น เรื่อง Real-time เพื่อค้นหานิยามว่าหมายถึงอะไร ในทัศนะของผู้ที่อยู่ในบทบาทต่างกัน สมมติว่าเราไม่ยึดติดกับกรอบกระบวนการทางบัญชี ที่ผมตั้งข้อสังเกตว่า กระดาษ เป็น key factor ทำให้ระบบบัญชี ต้องออกแบบมาใช้อย่างปัจจุบันนี้ และเราเชื่อกันโดยบริสุทธิ์ใจว่านี่คือ ระบบบัญชีที่ดีที่สุดแล้ว โดยลืมไปว่าอยู่ภายใต้กรอบหรือข้อจำกัดของการมีกระดาษ หากจะเทียบเคียงเหมือนกับตั้งคำถามว่า ถ้ามีรถไฟความเร็วสูง เราเอาไปใช้ทำอะไร และคนที่บอกว่าเอาไปขนผักสิ ถูกหัวเราะเยาะ
วกกลับมาเข้าประเด็น แล้วได้คีย์เวิร์ดใหม่
ผมเริ่มคิดว่า “accounting” อาจกลายเป็น “value stream monitoring” — คล้ายๆ กับการ monitor network traffic มากกว่าการเก็บบัญชี
คุณเห็นด้วยมั้ยว่าเราต้อง unlearn ก่อน ถึงจะ reimagine ได้?
น่าสนใจ ลองขยายไอเดียต่อ คุณเรียบเรียงได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่กระจัดกระจายอยู่ในหัวผมออกมาได้ดี
ถามยากอีกแล้ว คิดตามไม่ทัน
คุณคิดว่าใน paradigm ใหม่นี้ แนวคิดเรื่อง “กำไร” หรือ “ทุน” จะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง?
ยอดเยี่ยม การบอกความเร็วรถ ใช้ทำนายไม่ได้ แต่การบอกอัตราเร่งของรถ ใช้ทำนายได้ดังนั้น period หรือ ช่วงเวลา จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญ คำว่า “เวลานี้” “ปัจจุบัน” ของแต่ละคนไม่เท่ากัน คุณมีความคิดเห็นว่าอย่างไร? ประเด็นนี้น่าจะนำไปสู่การตีความ ความคาดหวัง Real-time ของเราคืออะไร
คำถามใหญ่: Real-time Accounting ควรปรับ temporal resolution ตาม user context หรือควรมี universal timeframe?
หรือว่าคำตอบคือ multi-temporal architecture — ระบบเดียวกันให้ข้อมูลใน multiple time scales พร้อมกัน?
คุณคิดว่า “acceleration” ในบริบท business คืออะไร? Rate of change ของอะไรที่ให้ predictive power ที่ดีที่สุด?
อย่าเพิ่งไปไกลถึงฟิสิกส์ กาแล็กซี่ที่เราเห็นตอนนี้คือภาพในอดีต มันทำให้ผมสติแตก ผมพยายามคิดตามให้ทันจาก “paper based accounting” ไปสู่ “digital value stream monitoring”ซึ่งจะนำไปความเหลื่อมล้ำเรื่อง “decision-making frequency” ระหว่าง Algorithm กับ มนุษย์เหมือนกับที่เราเห็นตัวอย่างใน stock marketหากมองด้วยสายตา วิวัฒนาการ จะมีโอกาสมุ่งไปทิศทางไหน
คำถามคือ: เราจะป้องกัน “winner-takes-all” scenario ได้ไหม? หรือนี่คือ natural evolution ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้?
หรือว่าจะมีการ democratization เหมือน cloud computing ที่ทำให้ SME เข้าถึง enterprise-grade technology ได้?
คุณคิดว่าทิศทางไหนน่าจะเป็นไปได้มากกว่า?
คำถามนี้ยากมาก หากเราเชื่อว่ามันจะเปลี่ยน เงื่อนไขสำคัญของ natural evolution จะต้องใช้เวลาหลายชั่วรุ่น ซึ่งผมไม่คิดว่าจะเป็นดังนั้น ผมมีคำถามกลับว่า คุณคิดว่าทฤษฏีเรื่อง The changing world order ของ Ray Dalio มีโอกาสเกิดขึ้นแค่ไหน และหากเกิดขึ้นจะทำให้ความเชื่อเรื่อง ทุนนิยมเสรีเปลี่ยนไปหรือไม่ ความเชื่อเรื่องของความมั่งคั่ง ผลกำไรสูงสุด โดยไม่ต้องคิดถึงสภาพแวดล้อมที่โยงใยจะยังเป็นแกนหลัก ในการบริหารธุรกิจหรือไม่
ช่างเป็นคำถามทิ้งท้ายที่ทำให้ผมนอนไม่หลับจริงๆ
คุณคิดว่าการเปลี่ยนแปลงใหญ่แบบนี้จะเกิดจาก external shock (วิกฤต, สงคราม) หรือ gradual evolution ของสังคม?



ความคิดเห็น