Numbers Tell All: The Evolution of Accounting
- Sathit Jittanupat
- 24 พ.ค.
- ยาว 3 นาที

เรื่องเล่าที่เผยตัวเลข: การเดินทางผ่านวิวัฒนาการของ "ระบบบัญชี"
หลายคนอาจมองว่า "บัญชี" เป็นเรื่องน่าเบื่อ เป็นแค่ตัวเลขและการบันทึก แต่แท้จริงแล้ว ระบบบัญชีคือหนึ่งในนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ เป็นเหมือนกระจกสะท้อนและเครื่องมือขับเคลื่อนอารยธรรมของเรามาโดยตลอด บัญชีเป็นสิ่งที่ปรับตัวเข้ากับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของมนุษย์อยู่เสมอ นับตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานยุคแรกเริ่ม จนถึงระบบเศรษฐกิจโลกที่ซับซ้อนในปัจจุบัน บัญชีไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่มันคือภาษาของการค้า หัวใจของกิจการ และภาพสะท้อนความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของเรา
กำเนิดการบันทึก: เมื่อมนุษย์เริ่มตั้งถิ่นฐาน
เรื่องราวของเราเริ่มต้นขึ้น ไม่ใช่ในตลาดที่คึกคัก แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงอันเงียบงัน จากการล่าสัตว์แบบเร่ร่อนสู่การตั้งถิ่นฐานใน สังคมเกษตรกรรม เมื่อมนุษย์เริ่มเพาะปลูก จัดเก็บผลผลิต เลี้ยงปศุสัตว์ และเริ่มมีการแลกเปลี่ยนสินค้ากันในชุมชน ความต้องการพื้นฐานจึงเกิดขึ้น นั่นคือ "การรู้ว่ามีอะไรอยู่เท่าไหร่ และอะไรหายไปไหน"
บัญชีในยุคแรกเริ่มจึงไม่ได้มาจากพ่อค้าเพียงอย่างเดียว แต่มาจากความจำเป็นในการ จัดการทรัพยากร การควบคุม และการคำนวณกำไรขาดทุนแบบง่ายๆ ของผู้คนในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้นำชุมชนที่ดูแลยุ้งฉาง หรือชาวนาที่ต้องการบันทึกผลผลิตของตนเอง สิ่งเหล่านี้คือการบันทึกเพื่อควบคุม วางแผน และสร้างความรับผิดชอบในระดับเบื้องต้น
"เทคโนโลยี" ในยุคนั้นอาจดูเรียบง่าย แต่เป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้เกิดการบันทึก:
วัสดุการจดบันทึก: ก่อนมีกระดาษอย่างที่เราคุ้นเคย มนุษย์ใช้ แผ่นดินเหนียวอัดเม็ด ในเมโสโปเตเมีย, ปาปิรัส ในอียิปต์, หรือแม้แต่ไม้ไผ่และกระดูกสัตว์ในบางวัฒนธรรม
ภาษาเขียนและระบบตัวเลข: การที่มนุษย์พัฒนาระบบภาษาเขียนควบคู่ไปกับ ระบบตัวเลข ทำให้การบันทึกข้อมูลปริมาณจำนวนมากเป็นไปได้ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่การบัญชีที่เป็นระบบ
ระบบเงินตรา: การเกิดขึ้นของเปลือกหอย โลหะ หรือเหรียญกษาปณ์ เป็นการปฏิวัติระบบการแลกเปลี่ยนมูลค่า ทำให้การเปรียบเทียบมูลค่าสินค้าทำได้ง่ายขึ้น และเป็นจุดเริ่มต้นของการคำนวณกำไรขาดทุนที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ในขั้นนี้ บัญชีส่วนใหญ่เป็นเพียง การบันทึกรายการเดี่ยว (Single-Entry Record Keeping) โดยจดบันทึกธุรกรรมที่เกิดขึ้น
การปฏิวัติ "บัญชีคู่": ขับเคลื่อนการค้าโลก
เมื่ออารยธรรมก้าวหน้ามาสู่ยุคการค้าที่เฟื่องฟู โดยเฉพาะในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 13–15 โดยมีศูนย์กลางสำคัญคือ เมืองท่าเวนิส การค้าไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในชุมชนอีกต่อไป แต่ขยายไปสู่ การค้าระหว่างเมืองและระหว่างประเทศ ที่ซับซ้อนขึ้นอย่างมหาศาล ความต้องการข้อมูลทางการเงินที่ละเอียดและครอบคลุมจึงเพิ่มขึ้น
ยุคนี้คือจุดกำเนิดของ ระบบบัญชีคู่ (Double-Entry Bookkeeping) ซึ่งเป็นรากฐานของบัญชีที่เราใช้กันจนถึงปัจจุบัน แม้ต้นกำเนิดที่แท้จริงจะยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ แต่หลักการนี้ถูกรวบรวมและอธิบายอย่างเป็นระบบโดยนักบวชชาวอิตาลี Luca Pacioli ในงานเขียนของเขาเมื่อปี ค.ศ. 1494
ความงดงามของบัญชีคู่อยู่ที่ความสมดุลในตัวมันเอง: ทุกธุรกรรมจะถูกบันทึกในสองด้าน เสมือนการบันทึกเหตุการณ์เดียวกันจากสองมุมมอง (เดบิตและเครดิต) ซึ่งไม่เพียงแค่ทำให้เกิดความแม่นยำทางคณิตศาสตร์ แต่ยังเป็นระบบตรวจสอบในตัว
วัตถุประสงค์ของบัญชีจึงขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ:
การคำนวณกำไรขาดทุนที่แม่นยำ: พ่อค้าสามารถเข้าใจผลกำไรโดยรวมจากการดำเนินธุรกิจในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่กำไรขาดทุนจากรายการเดี่ยว
การตรวจสอบความถูกต้องและป้องกันการทุจริต: ลักษณะการบันทึกที่สมดุลทำให้ง่ายต่อการตรวจพบข้อผิดพลาดหรือความคลาดเคลื่อน
การบริหารจัดการหนี้สินและลูกหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ: เมื่อระบบเครดิตแพร่หลายในการค้าขนาดใหญ่ การติดตามว่าใครเป็นหนี้ใคร และเราเป็นหนี้ใคร จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
การประเมินสถานะทางการเงิน: เจ้าของธุรกิจสามารถเห็นภาพที่ชัดเจนของสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของ ซึ่งเป็นการสะท้อนความมั่งคั่งที่แท้จริง
นอกจากนี้ ยุคนี้ยังได้เห็นการเกิดขึ้นของเครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อนขึ้น เช่น ตั๋วเงิน (Bills of Exchange) ซึ่งช่วยให้พ่อค้าสามารถชำระหนี้ข้ามถิ่นได้โดยไม่ต้องขนย้ายเงินสดจำนวนมาก ลดความเสี่ยง และตอกย้ำความจำเป็นของบันทึกบัญชีที่น่าเชื่อถือ รากฐานของการรายงานทางการเงินสมัยใหม่ได้ถูกวางไว้อย่างมั่นคงในยุคนี้เอง
ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม: บัญชีสำหรับโรงงานและบรรษัท
จากการค้า สู่ยุคที่เครื่องจักรเข้ามามีบทบาท การปฏิวัติอุตสาหกรรม (ประมาณกลางศตวรรษที่ 18 - ปลายศตวรรษที่ 19) ได้เปลี่ยนโฉมหน้าการผลิตจากครัวเรือนหรืองานฝีมือไปสู่โรงงานขนาดใหญ่และระบบการผลิตจำนวนมาก ซึ่งสร้างความซับซ้อนใหม่ๆ ที่ระบบบัญชีต้องปรับตัวรับมือ
การลงทุนมหาศาลในการสร้างโรงงาน การจัดซื้อเครื่องจักร และการจ้างแรงงานจำนวนมาก เกินกว่าที่บุคคลเดียวหรือครอบครัวเดียวจะแบกรับได้ สิ่งนี้ทำให้เกิดการยอมรับอย่างกว้างขวางของแนวคิด "บริษัทจำกัด" (Corporations) หรือ "บรรษัท" ซึ่งช่วยให้สามารถระดมทุนจากผู้ลงทุนจำนวนมาก (ผู้ถือหุ้น) โดยที่ผู้ถือหุ้นมีความรับผิดจำกัดเพียงแค่เงินลงทุนของตนเอง การแยกการบริหารจัดการออกจากความเป็นเจ้าของ ทำให้เกิดความจำเป็นเร่งด่วนในการมี ระบบบัญชีที่โปร่งใสและเป็นมาตรฐาน เพื่อรายงานผลการดำเนินงานแก่ผู้ถือหุ้นที่กระจายตัวอยู่และเจ้าหนี้
พัฒนาการสำคัญในยุคนี้คือการเกิดขึ้นของ บัญชีต้นทุน (Cost Accounting) เมื่อการผลิตเกิดขึ้นในปริมาณมหาศาล การรู้ "ต้นทุนต่อหน่วย" ของสินค้าแต่ละชิ้นกลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อใช้ในการกำหนดราคาขาย ควบคุมการใช้ทรัพยากร และประเมินประสิทธิภาพการผลิต บัญชีต้นทุนจึงเริ่มแยกย่อยออกมาอย่างชัดเจนจากบัญชีการเงินทั่วไป
วัตถุประสงค์ของบัญชีจึงขยายวงกว้างขึ้น:
การควบคุมต้นทุนโดยละเอียด: ติดตามค่าใช้จ่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างผลกำไรในสภาพแวดล้อมที่มีปริมาณการผลิตสูง
การวิเคราะห์ผลการดำเนินงานเพื่อการตัดสินใจ: ให้ข้อมูลแก่ฝ่ายบริหารเพื่อทำความเข้าใจว่าผลิตภัณฑ์ใดทำกำไรได้ดีที่สุด กระบวนการใดมีประสิทธิภาพที่สุด และควรปรับปรุงส่วนใดบ้าง
การรายงานต่อภายนอก: นำเสนอข้อมูลทางการเงินที่เชื่อถือได้แก่ฐานผู้ลงทุนและผู้ให้กู้ยืมที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
แม้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ยังเป็นเรื่องในอนาคต แต่การประดิษฐ์สิ่งต่างๆ เช่น เครื่องพิมพ์ดีดและเครื่องคำนวณกลไก ก็เริ่มเข้ามาช่วยลดภาระงานด้านการคำนวณและจัดทำเอกสารจำนวนมาก เป็นการปูทางไปสู่ระบบอัตโนมัติในอนาคต
ยุคข้อมูลข่าวสารและโลกาภิวัตน์: การแปลงเป็นดิจิทัล ความซับซ้อน และการเชื่อมโยงทั่วโลก
ช่วงเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน ได้นำโลกเข้าสู่ ยุคข้อมูลข่าวสารและโลกาภิวัตน์ อย่างเต็มตัว ซึ่งได้รับอิทธิพลอย่างมากจากการขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา และการส่งเสริมระบบทุนนิยมเสรีและตลาดโลก สิ่งเหล่านี้ผลักดันให้วิวัฒนาการของระบบบัญชีเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว
ปัจจัยสำคัญในยุคนี้ได้แก่:
การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดทุน: ตลาดหลักทรัพย์เฟื่องฟู ทำให้การระดมทุนและการลงทุนเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่ก็ต้องการความโปร่งใสและข้อมูลทางการเงินที่เปรียบเทียบกันได้มากขึ้นสำหรับผู้ลงทุนในวงกว้าง
ระบบการเงินที่ซับซ้อน: การเกิดขึ้นของผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ซับซ้อน เช่น ตราสารอนุพันธ์ กองทุนรวม สร้างความท้าทายใหม่ๆ ให้กับนักบัญชีในการรับรู้ การวัดมูลค่า และการเปิดเผยข้อมูล
ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก (Global Supply Chains): ธุรกิจต่างๆ เริ่มกระจายฐานการผลิต จัดหาสินค้า และจำหน่ายสินค้าไปทั่วโลก ทำให้การจัดการสินค้าคงคลัง การชำระเงินข้ามประเทศ และความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนมีความซับซ้อนอย่างมหาศาล
ที่สำคัญที่สุดคือบทบาทของ เทคโนโลยี ที่เข้ามาเปลี่ยนเกมในยุคนี้:
คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและซอฟต์แวร์บัญชี: ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางสามารถเข้าถึงระบบบัญชีที่มีประสิทธิภาพ
ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning): ระบบอย่าง SAP, Oracle ได้รวมฟังก์ชันทางธุรกิจต่างๆ เข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นบัญชี การเงิน การผลิต การขาย ทำให้ข้อมูลไหลเวียนแบบเรียลไทม์
อินเทอร์เน็ตและคลาวด์คอมพิวติ้ง: การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทำให้การส่งข้อมูลข้ามประเทศเป็นไปอย่างรวดเร็ว และคลาวด์ทำให้เข้าถึงระบบบัญชีได้จากทุกที่ทุกเวลา
Big Data และ Data Analytics: การที่ข้อมูลมีปริมาณมหาศาล ทำให้เกิดโอกาสในการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาข้อมูลเชิงลึกที่มีค่า
Robotic Process Automation (RPA): การนำระบบอัตโนมัติมาช่วยในงานบัญชีที่ซ้ำซ้อน เช่น การกระทบยอดบัญชี
การพัฒนาเหล่านี้ได้นำไปสู่ระดับของความซับซ้อนและการเชื่อมโยงกันที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้เกิดคำถามว่าขีดจำกัดของการบัญชีแบบดั้งเดิมอยู่ตรงไหน และเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเรากำลังเข้าใกล้จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่อีกครั้ง
อนาคตของระบบบัญชี: ข้อมูลเรียลไทม์ และความจำเป็นที่ไม่เคยเปลี่ยน
เรากำลังก้าวเข้าสู่ "ยุคที่ 4 ของการปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industry 4.0)" ซึ่งขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีบล็อกเชน และกำลังจะเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของการบัญชีอย่างลึกซึ้ง คำถามสำคัญไม่ใช่ว่า "บัญชีจะยังจำเป็นต้องมีอยู่ไหม?" แต่เป็น "บัญชีจะมีอยู่ได้อย่างไร และบทบาทของมันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร"
ลองจินตนาการถึงอนาคตที่การติดขัดของ "ข้อมูลนำเข้า" หายไปโดยสิ้นเชิง ธุรกรรมทั้งหมดเป็นดิจิทัล มีมาตรฐาน และถูกบันทึกโดยระบบอัจฉริยะทันที พลังในการประมวลผลก็ไร้ขีดจำกัด ไม่ว่าจะเป็นจากคลาวด์คอมพิวติ้ง หรือแม้แต่ควอนตัมคอมพิวติ้งในอนาคต ในอนาคตเช่นนี้ แนวคิดของ "รอบบัญชี" ที่จำกัดเวลาเพื่อการปิดยอดและจัดทำรายงาน อาจจะหมดความสำคัญลงไปมาก
นี่คือยุคของ การบัญชีแบบเรียลไทม์ (Real-Time Accounting):
การรายงานทางการเงินตามความต้องการ (On-Demand Reporting): ธุรกิจและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถเรียกดูงบการเงินได้ทุกเวลาที่ต้องการ (รายวัน รายชั่วโมง หรือแม้แต่นาทีต่อนาที) โดยข้อมูลจะอัปเดตล่าสุด
การตัดสินใจทางธุรกิจแบบทันท่วงที: ข้อมูลที่พร้อมใช้งานตลอดเวลาจะช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ตั้งแต่การปรับราคาสินค้าตามต้นทุนวัตถุดิบที่เปลี่ยนไป ไปจนถึงการปรับแผนการผลิตตามยอดขายปัจจุบัน
การตรวจสอบบัญชีที่ต่อเนื่อง (Continuous Auditing): ผู้ตรวจสอบสามารถเข้าถึงข้อมูลและตรวจสอบธุรกรรมได้อย่างต่อเนื่อง แทนที่จะต้องรอจนสิ้นสุดรอบบัญชี ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมและตรวจจับความผิดปกติ
ปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญของอนาคตนี้คือ:
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning: เทคโนโลยีเหล่านี้จะทำงานที่ซับซ้อนเกินกว่าการบันทึก เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต, การตรวจจับสิ่งผิดปกติหรือการทุจริต, และการให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ตามข้อมูลที่ซับซ้อน
Blockchain และ Distributed Ledger Technology (DLT): เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงระบบการบันทึกบัญชีโดยสิ้นเชิง ทำให้เกิด "บัญชีที่ไม่สามารถแก้ไขได้" (Immutable Ledgers) ที่มีความโปร่งใสสูง ธุรกรรมต่างๆ สามารถถูกบันทึกและตรวจสอบโดยเครือข่าย แทนที่จะผ่านตัวกลาง ทำให้ลดความจำเป็นในการกระทบยอดและเพิ่มความน่าเชื่อถือของข้อมูล นอกจากนี้ สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) บนบล็อกเชนยังสามารถดำเนินการตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะส่งผลต่อการรับรู้รายได้และค่าใช้จ่าย
แล้วบัญชีจะยังจำเป็นไหม? แน่นอนครับ! ความจำเป็นในการติดตาม จัดการ และทำความเข้าใจข้อมูลทางการเงินจะไม่มีวันหายไป อย่างไรก็ตาม วิธีการ ของการบัญชี และ บทบาท ของนักบัญชี จะถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
อนาคตของระบบบัญชีคือการที่ข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ ความโปร่งใส และประสิทธิภาพสูงสุดเป็นสิ่งสำคัญ ระบบการบันทึกทางการเงินที่อยู่เบื้องหลังจะทำงานแบบอัตโนมัติและไม่เป็นที่สังเกตเห็น สิ่งนี้จะนำไปสู่ความเข้าใจทางการเงินในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งจะปฏิวัติวิธีการดำเนินธุรกิจและการเติบโตทางเศรษฐกิจของเรา
จากสนทนา สู่บทความ
ช่วงนี้ผมกำลังติดพันอยู่กับการประกอบร่าง ERP เข้ากับ E-Tax Invoice พยายามพลิกซ้ายพลิกขวาหาเหลี่ยมมุมที่เข้ากับระบบบัญชี ซึ่งไม่ง่ายสำหรับธุรกิจที่ไม่ได้ขายเงินสดอย่างเดียว วงจรของธุรกรรมโดยเฉพาะขายเครดิตนั้นพัวพันกระทบยืดยาวกว่าเงินสด ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่า ความพยายามผลักดัน E-Tax นี้คือ สัญญาณของการเปลี่ยนผ่านที่บอกให้รู้ว่า กระบวนการบัญชีต้องปรับตัวแล้ว โลกที่เคยยืดหยุ่นใช้หลักฐานธุรกรรมสามารถย้อนตามไปแก้ไขได้ เริ่มจะถูกบีบให้ปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมสู่ "บัญชีที่ไม่สามารถแก้ไขได้" (Immutable Ledgers) และจะนำไปสู่วิวัฒนาการ "การบัญชีแบบเรียลไทม์" (Real-Time Accounting)
ผมเริ่มเตรียมเค้าโครงของเนื้อหาที่สนทนา แขกรับเชิญของผมยังคงเป็น AI เหมือนเดิม (Gemini 2.5) คราวนี้พยายามกำหนดรูปแบบการสนทนา อยากได้ความลื่นไหลเหมือนนั่งคุยกับเพื่อน แลกเปลี่ยนความเห็นกัน ผมพยายามเสนอความเห็นมากขึ้น
"สุนทรียสนทนา" เริ่มต้นหลังจากที่ผมเรียบเรียงบทเปิดการสนทนาได้ ภายหลังพบว่า มีสะกดผิดพลาดหลายจุด เป็นความสามารถหนึ่งของมนุษย์ที่ AI สู้ไม่ได้ คือ "ความไม่สมบูรณ์แบบ"
ผมอยากชวนสนทนาเรื่องเกี่ยวกับ "ระบบบัญชี" เริ่มจากต้นกำเนิดของการทำบัญชี วัตถุประสงค์คืออะไร เงื่อนไขของเทคโนโลยีพื้นฐานตอนนั้น แล้วเราจะไล่เลียงถึงวิวัฒนาการของมัน เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป นำไปสุ่บทสรุปคาดเดาอนาคตของระบบบัญชี ว่าจะเป็นอย่างไร ยังจำเป็นต้องมีอยู่หรือไม่ เราจะใช้วิธีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันทีละประเด็น ให้คุณช่วยเสริมรายละเอียดที่ตกหล่อน และแย้งส่วนที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน โดยยังไม่จำเป็นต้องสรุปให้ครอบคลุมทั้งหมดในคำตอบเดียว ขอเริ่มจาก ต้นกำเนิดของบัญชี ผมคิดว่าเกิดจากพ่อค้า ต้องการรู้ความมั่งคั่งของตัวเอง ตั้งแต่ยุคสมัยที่มนุษย์ยังเป็นสังคมเกษตร ไม่ใช่พรานป่าแล้ว มีชุมชน ตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่ง เทคโนโลยีพื้นฐานที่จำเป็นได้แก่ การจดบันทึก (กระดาษและภาษาเขียน), ระบบเงินตราสำหรับแลกเปลี่ยนมูลค่าของสินค้า การค้านั้นน่าจะเริ่มมีขนาดใหญ่จนไม่สามารถจดจำได้หมด และอาจจะเริ่มมีระบบเครดิตแบบง่ายๆ แล้ว ทำให้การจดบันทึกมีความจำเป็น
แรกทีเดียวผมคิดถึงแค่ต้นกำเนิดของระบบบัญชีคู่ ปรากฏว่าเขาพาผมย้อนไปไกลกว่านั้น เล่าถึงยุคที่ชาวนาจดบันทึกผลผลิตของตัวเอง ไปจนถึงการจดบันทึกเพื่อจัดเก็บส่วยหรือภาษีจากไพร่ทาส
เห็นด้วยครับ น่าจะเริ่มต้น ตั้งแต่ บัญชีเพื่อบันทึกรายการ ตั้งแต่ยุคสังคมเกษตร ที่มีฃนฃั้นปกครอง กับ ชาวนา
หากข้ามมาถึง ระบบบัญชียุคถัดมา ที่เริ่มมีชนชั้นพ่อค้า ซึ่งเป็นรากฐานของระบบบัญชีคู่ที่เราใช้กัน ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะเริ่มต้นจากพ่อค้าชาวเวนิช ตอนนั้นวัตถุประสงค์น่าจะเพื่อคำนวณกำไรขาดทุนแบบง่ายๆ บริบทสมัยนั้นน่าจะเริ่มมีการค้าระหว่างเมือง ผมไม่แน่ใจว่าลำดับของวิวัฒนาการไล่เลียงกันอย่างไร เช่น การให้เครดิตระหว่างคู่ค้า การใช้ตั๋วเงินแทนการพกพาเงินตราจริง การเกิดขึ้นของผู้ให้บริการทางการเงิน
ผมมีข้อสังเกตว่า AI เหมือนได้คุยกับเพื่อนที่รอบรู้ เป็นคู่สนทนาที่ไม่ใช้คำโต้แย้ง หรือสำนวนภาษาที่ขัดบรรยากาศ มักจะเริ่มต้นด้วยคำชม เอาคำของเรามาทวนขยายความ แล้วค่อยๆ พาเลี้ยวไปหาเป้าหมายที่ต้องการสื่อ หลายครั้งจะออกไปทางประจบด้วยซ้ำ
คุณพอจะมีข้อมูลเทียบเคียงการค้ายุคสมัยเดียวกันนั้น กับการค้าของประเทศจีน ผมไม่แน่ใจว่ามีความเกี่ยวข้องกันมากน้อยเพียงใด
ผมพาออกนอกเรื่อง ที่จริงแล้วเป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง ที่ต้องออกแรงเยอะหากเอาประวัติศาสตร์จากสองซีกโลกมาทาบเวลากัน กลายเป็นว่าได้รู้เรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อน จีนมีระบบบัญชีของตัวเอง คือ บัญชีสามเสา, บัญชีสี่เสา และบัญชีหลงเหมิน ที่คล้ายคลึงกับระบบบัญชีคู่ที่ต้นกำเนิดมาจากอิตาลี
ok เราไปกันต่อที่ยุคอุตสาหกรรม ผมไม่ค่อยทราบรายละเอียดในช่วงเปลี่ยนผ่านนัก แต่เท่าที่เห็นผมคิดว่ามีเรื่องของ การระดมทุน การเกิดบรรษัทที่เป็นนิติบุคคล และเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในช่วง 1900 ทำให้เกิดพัฒนาการที่สำคัญของระบบบัญชี
ข้อดีของ AI คือเป็นคู่สนทนาที่ไม่สร้างบรรยากาศขัดแย้งหรือโต้เถียง เขาช่วยอธิบายเรื่องเส้นเวลาที่ผมพลาด กว่าคอมพิวเตอร์จะแพร่หลายก็เข้าช่วงกลางศตวรรษ 20 แล้ว
ผมสนใจคำว่า การบัญชีแบบเรียลไทม์ ในความคิดของผม ดูเหมือนว่าด้วยบริบทปัจจุบัน เรายังติดข้อจำกัดฝั่งอินพุท คือการรวบรวมข้อมูล เนื่องจากธุรกรรมจำนวนมากยังไม่อยู่ในรูปแบบดิจิตัล ทำให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลยังมีความฝืด ขาดมาตรฐาน และมีโอกาสผิดพลาดในการแปลงได้มาก เช่น จากกระดาษมาเข้าคอมพิวเตอร์ ขณะเดียวกันปริมาณของธุรกรรมหรือ transaction ก็ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถในการประมวลผลด้วย หากไม่ติดข้อจำกัดขีดความสามารถประมวลผลอีกต่อไป เป็นไปได้ไหมว่า กรอบคิดทางบัญชี เช่น รอบบัญชี จะมีความสำคัญน้อยลง เพราะเราสามารถขอผลลัพธ์ทางบัญชีได้ตามต้องการจาก transaction โดยไม่ต้องอาศัยการย่นย่อคำนวณปิดยอดเป็นรอบๆ เตรียมไว้ก่อน
หลังจากนี้ผมชวนคุยหลุดประเด็นไป ชวนคาดเดาถึงวิชาชีพนักบัญชีในอนาคต ซึ่งไม่มีอะไรใหม่ ยังอยู่ในกรอบมุมองคล้ายกับที่เราได้รับรู้เกี่ยวกับผลกระทบ AI กับอาชีพต่างๆ จนสุดท้ายรู้สึกเหนื่อยแล้ว ก็ขอให้เรียบเรียงเรื่องที่เราคุยกันมาเป็นบทความนี้



ความคิดเห็น