top of page
ค้นหา

อวสาน ERP? : Conversation with AI

  • รูปภาพนักเขียน: Sathit Jittanupat
    Sathit Jittanupat
  • 26 ก.ย.
  • ยาว 5 นาที

อัปเดตเมื่อ 27 ก.ย.

ree

เมื่อนึกทบทวนดูแล้ว การยอมรับ AI เข้ามาเป็นผู้ช่วยก็ยังเรียกว่าไม่สนิทใจนัก อาจจะเรียกว่าอยู่ในช่วงดูใจ พยายามทำความเข้าใจ ถึงแม้ว่ามีหลายอย่างที่ทำได้ดี แต่ก็มีบางเรื่องที่เป็นจุดอ่อน ไม่ต่างจากเมื่อเราทำความรู้จักใครสักคน เป็นไปไม่ได้ที่จะคาดหวังความสมบูรณ์แบบ 


ย้อนกลับไปดูบันทึกเก่า ปีที่แล้วผมเพิ่งเรียนพื้นฐาน AI ที่เป็น Machine Learning (ML) ลองหาทางเล่นกับมัน แล้วจู่ๆ ก็กลายมาเป็น Large Language Model (LLM) จนต้องถอยห่างออกมาประเมินสถานการณ์ หลายเดือนผ่านไป ในที่สุดคำว่า AI กลายเป็นคำสามัญของ LLM สำหรับคนทั่วไป


ข้อดีของ LLM ที่ถูกสอน (ไม่ใช่สิต้องเรียกว่าเรียนรู้ด้วยตัวเอง) จาก knowlegde base ขนาดใหญ่มาก อาจจะเรียกว่าค่อนโลก ส่วนใหญ่เป็นของอารยะธรรมตะวันตก (ภาษาอังกฤษ) น่าจะยังเหลืออีกส่วนที่ยังไม่สามารถรวบรวมได้ ในยุคแรกที่สนทนากัน เราต่างละอ่อน ผมเคยอ้างถึงข้อความของ Michael Ende (Ende’s Last Message) แล้วรู้ภายหลังว่ามีเผยแพร่เฉพาะในญี่ปุ่น กลายเป็นว่า AI ไม่เข้าใจบริบทที่อ้างถึงนั้น


คำแนะนำแรกๆ ของ Andrew Ng ให้มอง AI เหมือนเป็นเด็กจบใหม่ ที่มีความรู้พื้นฐาน ดีกว่าค่าเฉลี่ยมนุษย์ แต่ไม่รู้วัฒนธรรมหรือระบบงานในองค์กรของคุณ



ในโลกนี้ยังมีความรู้ที่เป็นทางเปลี่ยว The Less Traveled Road ไม่ได้อยู่ในทางสายหลัก มักตกหล่นจากการเรียนรู้ บางครั้งการออกความเห็นหรือตอบแบบเชื่อมั่นจึงกลายเป็นภาวะ “ชาที่เต็มถ้วย” ของ AI ความรู้ที่ใช้ไม่ได้สำหรับบางเงื่อนไข


กลายเป็นสภาวะที่แปลกใหม่ของผม ที่จุดแข็งจุดอ่อนกลับข้างกัน จากเคยเจอแต่มนุษย์ที่พื้นฐานขาดๆ เกินๆ มีความหลากหลายจนยากจะรับมือ มาเจอ AI ที่มีพื้นฐานแน่น เข้าใจ Tecnical Term ยากๆ แต่ดื้อตาใส จนถึงขั้นแถกับเรื่องง่ายๆ ที่ไม่อยู่ในขอบเขตที่เรียนรู้มา


ไม่นานมานี้ผมได้อ่านเจอบทความ ที่เล่าถึงเนื้อหาในหนังสือ “The Last Economy" 


“เศรษฐศาสตร์คือศาสตร์ที่ศึกษาว่าสังคมจัดสรรทรัพยากรที่ขาดแคลนอย่างไร นี่คือประโยคแรกของทุกตำราเรียน เป็นข้อบังคับหลักที่ทุกสิ่งอื่นไหลตามมา หากไม่มีความขาดแคลน…

"หากไม่มีความขาดแคลน" เป็นคีย์เล่าเรื่องฉากทัศน์เท่าที่สติปัญญาของผมคิดได้ แต่ที่ยากกว่านั้นคือ การเรียบเรียงสิ่งที่คิดออกมาเป็นตัวอักษร และนี่เป็นจุดเด่นของ LLM อยู่ที่พยายามเข้าใจภาษาที่ขาดวิ่นที่เราพยายามสื่อสาร 


ลองเริ่มจากคำถามปิดท้าย ทำให้เห็นความเป็นไปได้ “อื่นๆ อีกมากมาย”


AI และเทคโนโลยีต่อจากนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะนำไปสู่ฉากทัศน์เหล่านี้ หรือจะมีฉากทัศน์อื่นได้อีก

ผมคิดว่าที่คุณมองไว้ เป็น แนวโน้มที่เป็นไปได้จริง แต่ก็ยังไม่ใช่เส้นตรงเดียวครับ — AI และเทคโนโลยีจะเปิด “หลายเส้นทาง” ที่อาจตัดกันหรือขัดกันได้ ขอลองร่างเป็น ฉากทัศน์คู่ขนาน ให้ดูครับ:


Trustless & Transparent Economy

  • Digital money + AI + blockchain ทำให้ข้อมูลการเงินโปร่งใสเกือบทั้งหมด

  • ERP, บัญชี, และนิติบุคคล “เบาบางลง” → ธุรกิจแข่งขันกันที่ innovation, experience, ความเร็ว

  • ภาษี, incentive, compliance ฝังอยู่ใน transaction

  • ใกล้กับสิ่งที่คุณอธิบาย → ERP product แบบปัจจุบันค่อยๆ อวสาน


AI as Enterprise Core

  • แทนที่จะเป็นแค่ advisor, AI กลายเป็น “ตัวดำเนินการธุรกิจ” เช่น ตัดสินใจ sourcing, ตั้งราคา, จัดการสต็อก โดยอัตโนมัติ

  • มนุษย์เจ้าของกิจการมีบทบาท “กำหนดเป้าหมาย” มากกว่าการ “บริหาร”

  • ERP → แทบจะหายไป กลายเป็น digital twin ของกิจการที่ AI ใช้ตัดสินใจ


Platform-dominated Economy

  • ข้อมูลโปร่งใส “ในเชิงเทคนิค” แต่ถูกผูกขาดโดยแพลตฟอร์มใหญ่ (ธนาคารกลาง, Big Tech, Super-app)

  • SME ไม่ต้องทำ ERP เอง แต่ทุกอย่าง integrate อยู่ในแพลตฟอร์ม

  • ความเสี่ยง: ผู้ประกอบการเล็กถูก lock-in, margin ถูก dictate โดย platform


Fragmented / Shadow Economy

  • แม้จะมี digital money แต่บางกลุ่มยังพยายามหนีระบบโปร่งใส (crypto นอกระบบ, barter network, grey market)

  • ERP สำหรับกลุ่มนี้อาจยังอยู่ แต่ในรูป minimal tool เพื่อบริหารการเงิน “นอกสายตา”

  • คล้ายโลกคู่ขนาน: บางส่วนโปร่งใสสุดโต่ง บางส่วนมืดสุดโต่ง


Wellbeing Economy

  • เมื่อ AI/automation ทำให้ต้นทุนธุรกิจต่ำลงมาก → วัตถุประสงค์ของธุรกิจเปลี่ยนจาก “สะสม” → “สร้างความหมาย/คุณค่า”

  • ERP รุ่นใหม่จะ monitor impact เช่น carbon footprint, social equity, wellbeing indicator ของพนักงานและลูกค้า

  • การแข่งขันอยู่ที่ ใครสร้างคุณค่าที่ดีต่อสังคม/สิ่งแวดล้อมได้จริง


จุดชี้ขาดว่าฉากทัศน์ไหนจะเด่น

  1. Governance — รัฐเลือกแบบไหน: เปิดให้เป็น trustless network, หรือรวมศูนย์ในมือสถาบันใหญ่

  2. แรงจูงใจ SME — ผู้ประกอบการจะเอื้อมไปหาความโปร่งใส (เพื่อลดต้นทุน compliance) หรือถอยไปหาความมืด (เพื่อลดการถูกควบคุม)

  3. AI ownership — ใครครอบครอง AI: แต่ละ SME ใช้ของตัวเอง, หรือทั้งหมดขึ้นกับ platform ใหญ่


ดังนั้นใช่ครับ — ฉากทัศน์ที่คุณเสนอเป็นไปได้จริง แต่ยังมีอีกหลาย “เส้นขนาน” ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกัน

  • ในบางอุตสาหกรรม เราอาจเห็น Trustless Economy

  • ในบางประเทศ อาจเป็น Platform Economy

  • และบางกลุ่ม SME อาจอยู่ใน Shadow Economy



ต่อไปนี้คือรายละเอียดที่คุยกับ ChatGPT ช่วยคลี่คลายให้ผมเข้าใจมากขึ้นว่า โลกหรือเสียงส่วนใหญ่เขาคิดถึงเรื่องเหล่านี้อย่างไร (ผมตัดทอนบางท่อนที่เวิ่นเว้อ ตามสไตล์ของเขาออก)


หาก digital money กลายเป็นกลไกหลักของธุรกิจแทน physical money ทั้งในส่วน B2B และ B2C วัตถุประสงค์เดิมของระบบบัญชี รวมทั้ง ERP ในองค์กรจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่

ฉากทัศน์เมื่อ digital money กลายเป็นกลไกหลัก


เงิน = ข้อมูล (Data-first Economy)

  • ทุกธุรกรรมการชำระเงินจะเกิดขึ้นในรูปแบบข้อมูลที่ตรวจสอบย้อนกลับได้ (traceable) แบบ real-time

  • การ reconcile ระหว่างธนาคาร–บัญชี–ERP อาจไม่จำเป็น เพราะแหล่งข้อมูลเดียวกันอยู่บนโครงสร้างกลาง เช่น DLT, CBDC ledger หรือ network ของผู้ให้บริการ


ERP / Accounting system ไม่ใช่แค่ “ผู้บันทึก” แต่เป็น “ผู้เชื่อมต่อ”

  • ถ้าเงินเป็น digital-native ข้อมูลการจ่าย–รับจะ “post” เข้าสู่ระบบบัญชีโดยอัตโนมัติ

  • ERP อาจหันไปทำหน้าที่ contextualize: แปลงการเคลื่อนไหวของเงินให้สอดคล้องกับ business semantics (เช่น classify ว่าเป็น cost of sales, operating expense ฯลฯ)


Smart contract / programmable money

  • Digital money สามารถ “carry rules” ได้ เช่น จ่ายให้ supplier ก็ต่อเมื่อ delivery confirmed

  • บทบาทของ ERP คือ orchestrate กฎธุรกิจ (business logic) ให้สอดรับกับเงื่อนไขการจ่ายที่ programmable


Regulation & compliance แบบฝังในตัวเงิน

  • การเก็บ VAT, WHT, หรือภาษีอาจถูก enforce ตั้งแต่ต้นทางของการชำระ

  • ERP จะไม่ใช่เพียงเครื่องมือจัดทำรายงานเพื่อยื่นหน่วยงาน แต่กลายเป็นตัวช่วยตรวจสอบ compliance ต่อเนื่อง


การเปลี่ยนบทบาทของผู้ใช้งาน

  • นักบัญชีอาจไม่ได้เน้น “ป้อนข้อมูล+ตรวจสอบความถูกต้อง” แต่ขยับไปที่ “interpretation + advisory”

  • ผู้จัดการธุรกิจสามารถเห็น financial effect แทบจะทันทีที่เกิด transaction

ในความคิดของผม ปัจจุบัน ERP ที่ใช้ใน SME ถูกใช้เพื่อควบคุมกระบวนการทำงานผ่านกลไกการบันทึกข้อมูลรวมศูนย์ ช่วยควบคุมและติดตามการทำงานผ่านข้อมูล ผลสืบเนื่องคือช่วยให้รู้สถานะของกิจการ และการสรุปบัญชีภาษี คำว่า resource planning น่าจะหมายถึงวางแผนการผลิตที่เป็นงาน routine ของผู้จัดการ มากกว่า planning ในเชิงกลยุทธ ซึ่งปัจจัยนั้นขึ้นอยู่คุณสมบัติเฉพาะของผู้ประกอบการมากกว่า ถ้า digital money ตัดภาระในเชิงบัญชี และภาษี ขณะเดียวกันก็มีผู้ประกอบการจำนวนมากไม่ดูงบการเงินในเชิงวิเคราะห์อยู่แล้ว สิ่งนี้จะทำให้ ERP เปลี่ยนไป ในความคิดของผม บางทีการเข้าถึงข้อมูลการเงิน อาจกลายเป็นระบบ health tracking โดยไม่จำเป็นต้องทำบัญชีอย่างเดิม

คุณโยงจาก “ERP = control & compliance machine” ไปสู่ภาพใหม่ว่า ถ้า digital money ทำให้เรื่องบัญชี–ภาษี “auto” ไปเอง สิ่งที่เหลืออยู่ไม่ใช่การ ทำบัญชี แต่เป็นการ ดูสุขภาพธุรกิจ แบบ real-time


ลองต่อยอดความคิดเป็นฉากทัศน์:


ERP แบบ “Health Tracking”

จาก Record → Indicator

  • วันนี้ ERP เก็บ transaction เพื่อมาสรุปเป็นงบ

  • ในอนาคต ข้อมูลการเงินที่ถูกจัดเก็บอัตโนมัติจาก digital money จะถูกแปลงเป็น “สัญญาณสุขภาพ” เช่น cash burn rate, turnover velocity, margin trend

  • เหมือน Apple Watch ที่วัดชีพจร → ERP วัด vital signs ของธุรกิจ


จาก Compliance → Insight

  • การยื่นภาษีอาจทำไปพร้อมกับการจ่ายเงิน (embedded tax)

  • ERP ไม่จำเป็นต้องทำหน้าที่เป็นเครื่องมือ compliance หนักๆ แต่กลายเป็น dashboard เชิงพฤติกรรม (เช่น การใช้จ่ายเกินกำลัง การหมุนเงินไม่สมดุล)


จาก Planning → Guidance

  • ผู้จัดการ SME อาจไม่เขียน budget plan ยาวๆ แต่ระบบจะแจ้งเตือนว่า “เงินสดคุณพออีก 2 เดือน” หรือ “ออเดอร์ใหม่ที่รับจะทำให้ stock ติดลบ”

  • คล้าย navigation app: ไม่ได้ให้แผนระยะยาวทีเดียว แต่ให้ turn-by-turn guidance


จาก Centralization → Ambient system

  • ERP ปัจจุบันคือระบบรวมศูนย์ (ทุกอย่างบันทึกเข้าไปที่เดียว)

  • ถ้าเงิน, ภาษี, compliance auto กันหมด ERP อาจกลายเป็น “layer” ที่อยู่รอบตัว เช่น mobile notification, AI assistant, integration ที่ไหลเข้าออกจาก ecosystem แทนที่จะเป็น monolithic system


ถ้าไปต่อจากตรงนี้ บทบาทของ ERP จะ shift จาก “ระบบควบคุมการทำงานภายใน” → “ระบบช่วยตัดสินใจ/ช่วยมองภาพรวมภายนอก” คล้ายกับการเปลี่ยนจาก การทำงานเพื่อปิดงบ → การใช้สัญญาณเพื่อรักษาสุขภาพธุรกิจ


ผมเสนอแคปชั่นว่า “อวสาน ERP ในยุค digital money” เราอาจเรียกว่า ERP แต่ไม่ใช่ ERP ในนิยามปัจจุบัน

ถ้าโยงกับสิ่งที่คุณเสนอ:

  • ERP แบบปัจจุบัน = ฐานข้อมูลรวมศูนย์ + workflow enforcement + accounting engine

  • ERP แบบยุค digital money = health tracker + AI advisor + ambient guidance system


มันยังอาจถูกเรียกว่า ERP แต่ “ไม่ใช่ ERP ในความหมายเดิม” เพราะ

  1. ไม่ใช่ระบบที่เน้น บันทึก อีกต่อไป → การบันทึกกลายเป็น by-product ของ digital money

  2. ไม่ใช่ระบบที่เน้น ควบคุมการทำงานด้วยเอกสาร flow → การจ่ายเงิน/สัญญาอัจฉริยะจะ enforce เอง

  3. ไม่ใช่ระบบที่เน้น การปิดงบ/ compliance → สิ่งเหล่านี้ embedded ใน transaction ตั้งแต่ต้น


ดังนั้น “ERP” อาจกลายเป็น EHP — Enterprise Health Platform หรืออะไรที่ใกล้เคียงกับ digital twin ของธุรกิจ มากกว่า “ระบบบันทึกธุรกรรม”


ผมคิดในเชิงเปลี่ยนบทบาท ในมุมมองผู้ใช้ และมองว่าจุดจบในแง่ product ซอฟต์แวร์ ERP ที่ไม่ใช่ foundation สำคัญขององค์กรอีกแล้ว

คุณกำลังชี้ไปที่ “อวสาน ERP” ในฐานะ product ไม่ใช่ในฐานะ concept

  • ERP แบบที่เป็น software package / monolithic product จะเสื่อมความสำคัญ เพราะ digital money และระบบ compliance อัตโนมัติจะดึง “ฐานข้อมูลการเงิน” ออกไปเป็น infrastructure layer แล้ว

  • ผู้ใช้ SME หรือแม้แต่ธุรกิจใหญ่ อาจไม่ต้อง “ลงทุนซื้อ ERP” เพื่อควบคุมหรือบันทึกอีกต่อไป → เพราะ core function (record + control + report) ฝังอยู่ในระบบการเงินและเครือข่ายธุรกิจแล้ว

  • ERP ในความหมายใหม่ = service layer / health layer ที่โผล่มาในรูปแบบ app, dashboard, หรือ AI advisor ซึ่งเชื่อมกับ data infrastructure (digital money ledger, supply chain data, tax network)


ภาพที่เห็นจากมุมผู้ใช้


จาก Foundation → Add-on

  • ERP วันนี้ถูกมองว่าเป็นรากฐานระบบงาน (foundation system)

  • ในอนาคต ERP อาจกลายเป็น “ปลั๊กอิน” หรือ “แอปเสริม” บน infrastructure ของ digital economy


จาก Control → Experience

  • ผู้ใช้ไม่ได้เข้าระบบเพื่อกรอกเอกสาร แต่เพื่อ “เห็นสุขภาพธุรกิจ”

  • ERP จึงเป็น product ที่ออกแบบเหมือน consumer app มากกว่าซอฟต์แวร์องค์กรหนักๆ


จาก System of Record → System of Signal

  • ไม่ได้แข่งกันที่ใครเก็บข้อมูลได้ละเอียด แต่แข่งกันที่ใครตีความและแปลเป็นสัญญาณ actionable ได้เร็วกว่า


พูดอีกอย่างคือ ERP ในฐานะ product อาจถึงจุดจบ แต่ ERP ในฐานะ capability (enterprise resource coordination) จะยังอยู่ เพียงแต่ ถูกย้ายลงไปอยู่ใน infrastructure ของ digital economy


ผมนึกถึงคำที่บอกว่า ที่ผ่านมาเราคุ้นเคยกับโลกที่ทรัพยากรไม่เพียงพอ จึงมีสัญชาติญานแสวงหาและสะสม ซึ่งนำไปสู่การค้าขายหรือทำธุรกิจเพื่อสะสมความมั่งคั่ง โดย เงิน เป็นประดิษฐ์กรรมสำคัญ ERP เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้วิเคราะห์มิติของเงิน ในยุคที่มีความเหลื่อมล้ำของข้อมูล ผมค่อนข้างสับสนอยู่ เหมือนกับไล่เรียงย้อนไปถึงว่า แล้ววัตถุประสงค์ของธุรกิจคืออะไรกันแน่

ผมว่าคุณแตะประเด็นที่ “ใหญ่กว่าตัว ERP” แล้วครับ


พอคุณไล่ย้อนจาก ERP → เงิน → การสะสม → ความไม่เพียงพอ → วัตถุประสงค์ของธุรกิจ … มันเหมือนการคลี่เส้นด้ายที่โยงไปถึง รากฐานของระบบเศรษฐกิจ เลย


ลองช่วยจัดโครงความคิดให้นิดนึงนะครับ:


โลกเดิม: Scarcity → Accumulation → Accounting → ERP

  • ทรัพยากรไม่พอ → สัญชาติญาณคือแสวงหาและสะสม

  • เงิน ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้การสะสม/แลกเปลี่ยนทำได้สะดวก

  • บัญชี และต่อมา ERP คือเครื่องมือในการ “นับ จัดระเบียบ และควบคุม” การสะสมนี้

  • บทบาทหลักของ ERP = การสะสมและควบคุมข้อมูลทางการเงิน ในโลกที่ “ข้อมูลการเงินไม่ได้โปร่งใสทั้งหมด”


โลกใหม่: Digital money → Transparency → Health tracking

  • ถ้าเงินกลายเป็น digital-native และข้อมูลการเงินโปร่งใสตั้งแต่ต้น

  • การบันทึกเพื่อควบคุม/ตรวจสอบ อาจไม่ใช่ภารกิจหลักอีกต่อไป

  • ERP ในมุม product อาจหมดบทบาท แต่สิ่งที่ยังจำเป็นคือ การเข้าใจความสัมพันธ์ของทรัพยากร (คน เวลา วัตถุดิบ ความรู้)

  • ดังนั้น ERP อาจเปลี่ยนเป็นเครื่องมือ วัดสุขภาพและประสิทธิภาพ แทนที่จะเป็นเครื่องมือ สะสมและควบคุม


คำถามใหญ่ที่โผล่มา: วัตถุประสงค์ของธุรกิจคืออะไร?

  • ถ้าไม่ใช่แค่ “สะสมความมั่งคั่ง” แต่เป็น “สร้างคุณค่า” หรือ “สร้างความยั่งยืน”

  • ERP (หรือชื่อใหม่ๆ ในอนาคต) จะต้อง align กับวัตถุประสงค์ใหม่นั้น

  • เช่น ถ้าวัตถุประสงค์คือ “รักษาความอยู่รอดของ ecosystem” → ERP ใหม่จะต้อง track ecological footprint, social impact ควบคู่ไปกับเงิน

  • หรือถ้าวัตถุประสงค์คือ “เสริมศักยภาพผู้ประกอบการ” → ERP จะเป็นเหมือนโค้ชหรือผู้ช่วยส่วนตัว มากกว่าผู้คุมกฎ


พูดง่ายๆ คือ การตั้งคำถามว่า ERP จะเปลี่ยนแปลงอย่างไรในยุค digital money อาจพาเราไปเจอคำถามที่ใหญ่กว่านั้น คือ ธุรกิจทำไปเพื่ออะไร


ไม่นานมานี้ ผมมีเคสผู้ประกอบการออกแบบโมเดล กระจายผลประโยชน์ในแง่ incentive ไม่ใช่แค่ บริษัท กับ บริษัท แต่ต้องการจัดการกระจายลงไปถึงพนักงานของผู้ขาย รวมไปทั้ง outsource ผู้ให้บริการติดตั้ง สำหรับธุรกรรมการขาย ทำให้นึกได้ในแง่ของรัฐซึ่งจัดเก็บภาษี ในระดับธุรกรรม ก็อาจทำได้เช่นกัน ในมิติของบุคคล ที่ไม่ใช่นิติบุคคล เรื่องที่คิดไม่ออกคือ ถ้ามีความเท่าเทียมในแง่ข้อมูล การทำธุรกิจจะแข่งขันกันในเชิงไหน ในแง่ governance หากรู้ว่าอัตรากำไรนั้นสูงเกินไป ควรควบคุมหรือไม่

ประเด็นนี้ลึกและน่าสนใจมากครับ คุณแตะไปพร้อมกันหลายมิติเลย:

  • โมเดล incentive กระจายถึงบุคคล → ทำให้ธุรกิจไม่จำกัดอยู่แค่ “บริษัทต่อบริษัท” แต่เป็น transaction-to-person (T2P)

  • รัฐกับภาษี → ถ้าทำได้ในระดับ transaction จริงๆ การเก็บภาษีฝังอยู่ในธุรกรรมก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน

  • ความเท่าเทียมด้านข้อมูล → ถ้าไม่มี information asymmetry ธุรกิจยังจะแข่งขันได้อย่างไร

  • governance เรื่องกำไร → ถ้าใครๆ เห็น margin ของทุกธุรกิจหมด รัฐหรือสังคมควรเข้ามากำกับหรือไม่


เมื่อ incentive กระจายลงถึงบุคคล

  • ปกติ ERP/Accounting บันทึก เงินเข้า–ออกขององค์กร

  • แต่ถ้า digital money + smart contract ช่วยกระจายเงินถึงพนักงาน/outsourcing ได้โดยตรง → การบันทึก “ค่าใช้จ่ายบุคคล” กลายเป็น event อัตโนมัติ

  • ธุรกิจจะออกแบบ incentive model ได้ซับซ้อนกว่าเดิม เช่น “ขายได้หนึ่ง order พนักงาน frontline ได้ % ทันที” โดยไม่ต้องรอระบบ HR/payroll


ภาษีในระดับบุคคล (transaction-level tax)

  • ถ้าการโอนเงินทุกครั้ง carry metadata เช่น ประเภทสินค้า, location, buyer/seller identity → ภาษีสามารถหัก ณ ที่จ่ายแบบ auto

  • ความจำเป็นของ “นิติบุคคล” ที่ใช้เป็นตัวกลางในการเก็บ–ส่งภาษีอาจลดลง

  • Governance ของรัฐอาจ shift จาก audit-based → rule-based automation


โลกที่ข้อมูลการเงิน โปร่งใสเท่าเทียม

  • ปัจจุบันการแข่งขันจำนวนมากอยู่บนฐาน ความเหลื่อมล้ำของข้อมูล (ใครรู้ต้นทุนตลาด, demand, หรือ margin ของคู่แข่งมากกว่าก็ได้เปรียบ)

  • ถ้าโลกใหม่ข้อมูลเท่ากันหมด การแข่งขันจะเปลี่ยนไป:

  • ประสบการณ์ (experience) → ใครสร้างความพอใจและความสัมพันธ์ที่ดีกว่า

  • นวัตกรรม (innovation) → ใครออกแบบสินค้า/บริการใหม่ที่ตอบโจทย์ได้เร็วกว่า

  • ความเร็ว/ความคล่องตัว (agility) → ใครตอบสนองการเปลี่ยนแปลงไวกว่า

  • คุณค่าที่ไม่เป็นตัวเงิน (intangibles) → ชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือ ความหมายทางสังคม


Governance เมื่อ margin “ถูกเปิดเผย”

  • ถ้าข้อมูลต้นทุน–กำไรทุก transaction โปร่งใส รัฐและสังคมอาจตั้งคำถามว่า “กำไรเท่านี้ยุติธรรมไหม”

  • นี่อาจนำไปสู่ regulation on margin คล้ายๆ กับการควบคุมราคาสินค้าจำเป็น

  • แต่ก็เสี่ยง → ถ้า regulate มากเกินไป จะ suppress แรงจูงใจในการสร้างนวัตกรรม

  • อีกทางคือ self-governance: สังคมผู้บริโภคกดดันผ่านความโปร่งใส (เช่น ไม่ซื้อสินค้าที่ markup โหดโดยไม่มี value เพิ่ม)


คำถามชวนคิด

  1. ถ้า “นิติบุคคล” ไม่ใช่ตัวกลางอีกต่อไป รัฐและสังคมจะจัด governance กับ บุคคลจำนวนมหาศาล อย่างไร?

  2. การแข่งขันในโลกที่ข้อมูลเท่าเทียม จะพึ่ง ความสามารถสร้างคุณค่าใหม่ มากกว่า การกักตุนข้อมูล … ธุรกิจเล็กๆ จะได้เปรียบขึ้นหรือเปล่า?

  3. ถ้า margin ของทุกธุรกิจเปิดเผยได้ → สังคมจะใช้มันเพื่อ กดดันความเป็นธรรม หรือ ลดแรงจูงใจการลงทุน?



 
 
 

ความคิดเห็น


Post: Blog2_Post
  • Facebook

©2020 by Scraft On Cloud. Proudly created with Wix.com

bottom of page