Neutral Transactions
- Sathit Jittanupat
- 19 เม.ย.
- ยาว 1 นาที

ภาษีมูลค่าเพิ่มเริ่มใช้เมื่อปี 2535 หลังจากนั้นอีกหลายปีต่อมา เคยมีกระแสรณรงค์ให้ประชาชนขอใบกำกับภาษีแล้วส่งมาชิงโชคกับกรมสรรพากร เพื่อแก้ปัญหาหลบเลี่ยงภาษีของผู้ประกอบการ
ตอนนั้นผมเคยตั้งคำถามว่า "แล้วจะตรวจสอบยังไง" เคยคิดเล่นๆ ว่าที่จริงแล้ว ควรให้ผู้ประกอบการส่งรายงานภาษีซื้อและภาษีขายมาให้สรรพากรด้วย ไม่ใช่ส่งแต่ยอดรวม ภ.พ.30
เป็นความคิดจากมุมมองของคนทำโปรแกรมตัวเล็กๆ (แต่ห้าวเกินตัว) เห็นว่าศักยภาพของคอมพิวเตอร์สามารถประมวลผลอะไรก็ได้ ที่สำคัญคือ ต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องเหมาะสม ก็เลยคิดง่ายๆ แค่หากทางรวบรวมรายการใบกำกับภาษีจากผู้ประกอบการทั้งหมดมาลงทุนทำเป็นฐานข้อมูล หากสำเร็จก็สามารถใช้สุ่มตรวจภาษีซื้อยอดใหญ่ๆ ที่ยื่นขอคืนว่าตรงกับของผู้ขายหรือไม่
หาไฟล์เก่าที่เก็บไว้มาอ่านอีกครั้ง นึกในใจว่าไอ้หนุ่มนี้ "บ้า" ใช้ได้เลย โลกวัยหนุ่มสาวไม่ค่อยคิดถึงคำว่า "เป็นไปไม่ได้" ไม่รู้หรอกว่าปริมาณข้อมูลมหาศาลทั่วประเทศนั้น มีความเป็นไปได้ในเชิงความคุ้มค่าที่จะลงทุนสำหรับเทคโนโลยีตอนนั้นเพียงใด รวมไปถึงค่าใช้จ่ายผูกพันในการนำเข้าข้อมูล
เคล็ดลับคือ เพิ่มช่องเลขประตัวผู้เสียภาษีของผู้ออกใบกำกับภาษีในรายงานภาษีซื้อ และถือเป็นสาระสำคัญของรายงานภาษีซื้อ ต่อไป นโยบายของท่านก็คือ ไม่ต้องเพิ่มอัตราเจ้าหน้าที่ตรวจปฏิบัติการ แต่เพิ่มอัตราลูกจ้างชั่วคราวมาทำหน้าที่พนักงานคีย์คอมพิวเตอร์ สำหรับรายงานภาษีซื้อและภาษีขายที่ผู้ประกอบการยื่นมา ถ้าเป็นไปได้ ออกแบบฟอร์มยื่นรายงานที่สามารถใช้ OCR เพื่ออ่านเข้าสู่ระบบ คอมพิวเตอร์ (OCR -Optical Character Recognition คือเทคโนโลยีที่คอมพิวเตอร์อ่านเอกสารด้วยเครื่องอ่านเช่น Scanner แล้วแปลงมาเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์)
Logic ที่สำคัญของระบบภาษีมูลค่าเพิ่มคือภาษีขายของผู้ประกอบการ บางส่วนจะกลายเป็นภาษีซื้อของผู้ประกอบการรายที่สอง (บางส่วนเป็นภาษีซื้อของผู้บริโภคที่ไม่ได้ขอคืน) จัดสร้างระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถประมวลผลข้อมูลประมาณ 100 ล้าน Record ต่อเดือน

ปี 2025 กรมสรรพากรยกเลิกการยื่นแบบ ภงด. ที่เป็นกระดาษ ให้ผู้ประกอบการยื่นผ่าน E-Filing ทำให้ผมหวนนึกถึงเรื่องราวบ้าๆ ที่เคยคิดไว้ บางทีเงื่อนไขข้อจำกัดที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย เรื่องที่เคยคิดว่าบ้ากลับเป็นไปได้
ภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นมีขนาดใหญ่กว่า ภงด. มาก แต่เทคโนโลยี Big Data การจัดเก็บข้อมูลในระบบดิจิตัลก็ไปไกลกว่านั้นมาก ยิ่งพิจารณาละเอียดว่าข้อมูลที่จะจัดเก็บส่วนใหญ่เป็นตัวอักษร ยิ่งนับว่าขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับคลิปวิดีโอและภาพถ่าย
เพื่ออุดช่องโหว่การยื่นภาษีด้วยยอดรวม เพราะออกแบบกลไกมาด้วยฐานคิดข้อจำกัดของมนุษย์ ว่าไม่มีปัญญาตรวจสอบละเอียดระดับรายการ แต่เมื่อมีคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือช่วย ทำอย่างไรจึงเปลี่ยนระบบภาษีมูลค่าเพิ่มให้ละเอียดกว่าเดิมได้
แน่นอนว่าข้อแรก คือแก้ไขแก้กฏหมายให้แนบรายงานภาษีมาด้วย ซึ่งจะนำไปสู่การปรับปรุงรูปแบบรายงานภาษีว่าข้อมูลที่จำเป็นมีอะไรบ้าง เพราะเป็นเรื่องของเป้าหมายนำข้อมูลเข้าระบบ ไม่ใช่เรื่องของรูปร่างหน้าตาบนกระดาษรายงานเพื่อให้พนักงานตรวจอ่านเหมือนสมัยก่อน ซึ่งจะได้ออกแบบให้สอดคล้องกับระบบ E-Filing ทีเดียวเลย ไม่ทุลักทุเลเหมือนตอนทำ ภงด.
ผมคิดไปถึงทัศนะคติใหม่ของรัฐ ถ้าภาษีคือรายได้ของรัฐ ผู้ประกอบการที่นำส่งภาษีคือลูกค้า ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมาผู้ออกกฏหมายของรัฐมองว่าตัวเองเป็นผู้ปกครอง มักออกระเบียบปฏิบัติที่มองจากตัวเองสนใจความสะดวกหรือง่ายในฝั่งตัวเอง กลายเป็นคำสั่งยิบย่อยจากช่องว่างวิจารณญาณ มากกว่าจะคิดถึงความยุ่งยากของฝั่งที่เป็นผู้ถูกบังคับใช้กฏหมาย
เพื่อให้ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาระน้อยลง ทั้งกับผู้ประกอบการและผู้ตรวจสอบ ผมเสนอแนวคิด neutral transactions ภาษีขายของกิจการหนึ่งจะเป็นภาษีซื้อที่เชื่อถือได้ของอีกกิจการหนึ่ง เหมือนคู่เบส ACGT นั่นเอง แทนที่จะคิดถึงการจับผิดเอามาสอบยันกัน เปลี่ยนเป็นเอามาอำนวยความสะดวกเติมเต็มให้บรรดาลูกค้าของรัฐแทน โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย
สมมติว่าผู้ประกอบการรายย่อย (โดยเฉพาะบุคคลธรรมดา) สามารถเลือกสมัครใจยื่นเฉพาะรายงานภาษีขาย โดยใช้ยอดภาษีซื้อตามสรรพากรสรุปให้อัตโนมัติจากข้อมูลภาษีขายที่ได้จากผู้ประกอบการอื่น (นึกออกไหมครับ สรรพากรจะไม่มีวันขาดทุนจากของคืนภาษีอีกเลย) ขณะเดียวกันผู้ประกอบการก็ไม่ต้องทำบัญชีเต็มระบบ ไม่ต้องยุ่งยากเก็บหลักฐานใบกำกับภาษี เลิกตรวจสาระสำคัญในใบกำกับภาษีที่ผู้ปฏิบัติเองก็ไม่เข้าใจเจตนารมย์ของกฎหมาย เปลี่ยนไปใช้ transaction จากรายงานภาษีที่นำส่งแทน
แต่.. แต่.. แต่.. อาจไม่ง่าย กรรมเก่ายังไม่หมด บรรดาข้อยกเว้น ภาษีต้องห้าม อะไรที่พัวพันยังต้องสะสางทำให้กลายเป็นอะไรที่เรียบง่ายตามไปด้วย
หลักคิดง่ายๆ อยู่ตรงที่ข้อมูล transaction ภาษีขายคือ รายได้ที่สรรพากรได้รับจากผู้ประกอบการ และภาษีขายบางส่วนไม่ใช่ทอดสุดท้ายกลายเป็นภาษีซื้อที่จะต้องคืนกลับไปก่อน ถ้าตรวจจับคู่ระดับ transaction เสมือนผู้ขายเขาช่วยยืนยันได้ก็ควรคืนภาษีได้ทันที
ดังนั้นจะไม่เกิดกรณีขาดทุนทางบัญชี เพราะคืนภาษีซื้อมากกว่า ได้รับภาษีขาย ส่วนยอดที่จับคู่ไม่เจอก็เข้ากระบวนการตรวจสอบก่อนว่า ฝั่งขายยื่นขาด หรือ ฝั่งซื้อยื่นเกินกันแน่
เงื่อนไขหนึ่งที่แลกกับความสะดวกไม่ต้องยื่นภาษีซื้อใช้ระบบประเมินภาษีอัตโนมัติคือ ไม่สามารถขอคืนภาษีเป็นเงินสด ต้องเครดิตภาษีซื้อเท่านั้น เพราะจะช่วยให้เกิดความยืดหยุ่นของกรอบเวลากรณีต้องตรวจสอบหรือปรับปรุงการประเมินภาษีที่อาจผิดพลาด
ผลพลอยได้จากการมีข้อมูล transactions ฝั่งรายได้ที่เชื่อถือได้ นำไปสู่การพัฒนากลไกตรวจสอบพฤติกรรมที่ผิดปกติ (fraud detection) เช่น พฤติกรรมของบริษัทที่ตกแต่งบัญชีโดยการเปิดใบกำกับภาษีให้บริษัทในเครือ แล้วเปิดใบลดหนี้หลังจากข้ามงวดบัญชีแล้ว
หากรัฐมีนโยบายที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย ก็จะมีข้อมูลสนับสนุนอีกด้านหนึ่งที่ชัดเจนเชื่อถือได้ และอัพเดทล่าสุดระดับเดือน ไม่ใช่ปีละครั้งจากภาษีเงินได้
ประเด็นแย้ง data privacy ที่คิดแว๊บขึ้นมา สามารถจัดการข้อมูลอย่างฉลาด ไม่ใช่โยนไฟล์ Excel ที่ใช้สรุปรายงานให้เป็น open data ทื่อๆ เช่น แยก layer ระหว่างข้อมูลที่ใช้ภายในเพื่อ tax auditing (ตรวจสอบแบบนักบัญชี) กับ layer ที่ใช้สำหรับ insight analytics (กลั่นตัวเลขแบบนักวิจัยตลาด) ที่ไม่จำเป็นต้องโล่งโจ้งเป๊ะเป๊ะ
ยกตัวอย่างเช่น ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลที่ระบุตัวตนผู้ซื้อผู้ขาย เอาแค่วันที่, เลขที่ใบกำกับภาษี และจำนวนเงิน ก็สามารถเอาไปทำโมเดลวิเคราะห์ในเชิงพฤติกรรมจากความต่อเนื่องของ transactions ได้มากมายแล้ว
เอกชนน่าจะนึกถึงคำว่า "Data is a new Oil" ที่สร้างกำไร แต่รัฐอาจเปลี่ยนให้เป็น "Data is a new Solar" มอบความโปร่งใสกลับสู่สาธารณะ
การมีข้อมูลระดับนี้เป็นฐาน ลองเติมช่องว่างกันว่า ต่อไป AI จะ…



ความคิดเห็น