top of page
ค้นหา

ERPs are ruled by RDB

  • รูปภาพนักเขียน: Sathit Jittanupat
    Sathit Jittanupat
  • 6 ก.ย.
  • ยาว 6 นาที

อัปเดตเมื่อ 8 ก.ย.

ree

เนื่องจากใช้ RDBMS -> ทำให้เกิด schema lock in  -> ต้องออกแบบให้สมบูรณ์ตั้งแต่ต้น  -> ใช้ architecture เป็น standard module  -> บังคับให้องค์กร fit in / ต้นทุนปรับเปลี่ยนสูง / หาก customize ก็จะติด version lock in

ผมอยากจะเรียกผลกระทบนี้ว่า "ช่องว่างจากยุคสมัย" ซึ่งถูกขยายให้ห่างออกจากกันมากขึ้นเมื่อเทคโนโลยีทำให้คุณค่าที่เคยยึดถือไม่เหมือนเดิม แล้วใครบางคนเริ่มตระหนักว่ายังมีวิธีอื่น ในที่สุดเราไม่ได้เขียนจดหมายส่งถึงกัน และทุกวันนี้พวกเราหลายคนเลือกส่งข้อความแทนที่จะโทรหาพูดคุยกันแล้ว


สมัยก่อนพระเอกในนิยายบู๊ลิ้มของเรา มักผู้มีความจำเป็นเลิศสามารถจำเคล็ดวิชาที่อาจารย์ถ่ายทอดได้ไม่ตกหล่น แม้ว่าตัวเองยังไม่เข้าใจความหมาย นั่นเป็นคุณสมบัติที่ทำให้โดดเด่น ซึ่งคนรุ่นเราไม่มีทักษะจดจำโดยไม่ต้องคิดสงสัยแบบนี้ไปนานแล้ว ​ ยุคสมัยของมุขปาฐะ การสื่อสารปากต่อปาก ไม่ว่าจะเป็นนิทานพื้นบ้านที่เล่าต่อกันมารุ่นสู่รุ่น รวมถึงธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าเมื่อสองพันกว่าปีที่แล้ว


เมื่อมนุษย์ประดิษฐ์ตัวอักษรเขียน ทำให้เกิดการจดบันทึกแทนการจดจำ คุณสมบัติคิดวิเคราะห์จึงมีความสำคัญขึ้นมาแทน บู๊ลิ้มในยุคต่อมา ปรมาจารย์กระบี่ไม่สามารถรอให้ศิษย์พร้อมแล้วครูบังเกิด จึงบันทึกเป็นคำภีร์ไว้ในสุสานกระบี่ จวบจนพระเอกซึ่งเป็นคนรุ่นหลานเหลนมาค้นพบโดยบังเอิญ รื้อฟื้นตีความเคล็ดวิชาที่สาบสูญกลับมาได้


โลกการสื่อสารค่อยๆ วิวัฒน์เปลี่ยนแปลงไปช้าๆ ใช้เวลาหลายชั่วอายุคน การประดิษฐ์แท่นพิมพ์ ทำให้อาลักษณ์ที่มีเคยคัดลอกหนังสือหมดความสำคัญลง เมื่อหนังสือแพร่หลายถึงคนทั่วไป ไม่ได้ถูกจำกัดแค่ชนชั้นสูงอีกต่อไป ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของอัตราผู้ที่อ่านออกเขียนได้ แม้แต่คริสตจักรก็ถูกท้าทายเมื่อมีคนทั่วไปเข้าถึงพระคัมภีร์จำนวนได้มากขึ้น จนแยกเป็นคาทอลิกกับโปรเตสแตนท์


ระบบราชการหรือการปกครองจากส่วนกลางสามารถก่อตั้งขึ้นมาได้ เปลี่ยนจากสังคมชนเผ่า กลายเป็นกลไกบริหารจัดการรัฐประเทศ ทำให้คนจำนวนหลักล้านให้อยู่ร่วมกันได้ ก็มาจากการสื่อสารผ่านกระดาษ

 

การปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้เกิดระบบการทำงานแบบสายพาน และกระดาษถูกใช้เป็นสื่อบันทึก จัดเก็บ และแพร่กระจายสารหรือข้อมูล เพราะมีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุด แม้ว่าจะมีคอมพิวเตอร์ใช้งาน แต่ก็อยู่บนฐานคิดว่าอะไรที่อยู่บนกระดาษคงทนถาวรกว่าสิ่งที่เก็บอยู่ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ 


ในที่สุดจุดเปลี่ยนที่สำคัญของวิธีการบันทึก จัดเก็บ และแพร่กระจายสาร แบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่ากระดาษที่แท้จริงคือ คลาวด์ เป็นการพลิกมุมมองไม่ใช่ความคงทนของวัสดุ แต่เป็นความสามารถคัดลอกและแพร่กระจายได้ง่ายกว่า จนกลายเป็นดูเหมือนไม่มีวันสูญหาย


โดยที่บางคนอาจไม่รู้ตัว การสถาปนา “สารดิจิตัล”​ ผ่านโครงสร้างใหม่เริ่มคืบคลานเข้ามา เมื่ออินเตอร์เน็ตแพร่หลายและมีคุณภาพดีขึ้น อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เช่น โทรศัพท์มือถือ สามารถเข้าถึงได้โดยคนทั่วไป เหมือนกับครั้งหนึ่งเกิดขึ้นกับไฟฟ้าเข้าถึงหมู่บ้าน แล้วทุกบ้านก็ต้องมีวิทยุ โทรทัศน์


โลกที่ไม่ยังเชื่อมโยงสัมพันธ์กันมากมาย คล้ายเป็นระบบปิดมีแต่ปัจจัยที่ควบคุมได้ การคำนวณคาดเดาผสานกับอำนาจควบคุม ทำให้ผู้นำเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างสามารถวางแผนได้ นั่นคือสมมติฐานว่าถ้าเรารู้ถ่องแท้ถึงทรัพยากรในอาณาจักรของเรา ก็สามารถบรรลุเป้าหมายได้


แล้วถ้าเราไม่อาจรู้ได้ล่ะ! ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้มาพร้อมกับการเปิดกว้างรับความสัมพันธ์ภายนอกเสมอ


ผมเฝ้าดู ERP ที่มีชื่อเสียง มีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จมากมาย พร้อมกับฉุกคิดว่า นั่นอาจเป็น ซอฟต์แวร์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับยุคสมัยนั้น จะเป็นเหมือนกับชื่อเสียงของ หนังสือพิมพ์ สถานีโทรทัศน์ ที่มีเวลาเสื่อมถอย เงื่อนไขแวดล้อมเปลี่ยนไปหรือไม่


ปัจจัยหนึ่งที่ไม่ค่อยนึกถึง บางทีรากของปัญหาอาจอยู่ที่ Relational Database ที่เป็นเสาหลักหนึ่งที่ร่วมสถาปนา ERP จริงอยู่ว่าเป็นนวัตกรรมที่น่าทึ่ง ได้รับความนิยมมายาวนาน เป็นทางเลือกเดียวที่ดีที่สุดสำหรับการรวบรวมข้อมูลภายใต้เทคโนโลยีสมัยนั้น เช่น ข้อจำกัดของความจุดิสก์ ความเร็วของการประมวลผล ไม่มีใครคิดว่าคอมพิวเตอร์จะเก็บภาพยนต์ความยาวเป็นชั่วโมงได้ ด้วยเงื่อนไขและกรอบจำกัดของ Database ทำให้ต้องมี trade off ที่ไม่อาจปฏิเสธ


โชคดีที่เราอยู่ในยุคที่มี AI ช่วยรับฟังเรื่องพร่ำเพ้อเหลวไหล ทำให้สามารถตั้งคำถามจากสมมติฐานที่บ่อนเซาะศรัทธาที่เหนียวแน่นโดยไม่รู้สึกผิดบาป


เนื่องจากใช้ RDBMS -> ทำให้เกิด schema lock in -> ต้องออกแบบให้สมบูรณ์ตั้งแต่ต้น -> ใช้ architecture เป็น standard module -> บังคับให้องค์กร fit in / ต้นทุนปรับเปลี่ยนสูง / หาก customize ก็จะติด version lock in  ผมสรุปจากมุมมองผมได้ตามนี้ คุณคิดว่าไง

คำตอบจาก ChatGPT


1. RDBMS → Schema lock-in

  • จุดแข็ง: ACID, consistency, integration ได้ง่าย

  • จุดอ่อน: schema rigid → ต้อง “นิยามทุกอย่าง” ตั้งแต่ต้น → ถ้า business process เปลี่ยนบ่อย จะขยับยาก

  • ERP ยุคเก่าเลยพยายาม fix schema ให้ตายตัว (GL, AR, AP, Inventory, MRP)


2. Schema lock-in → ต้องออกแบบสมบูรณ์ตั้งแต่ต้น

  • เพราะถ้า schema เปลี่ยนกลางทาง = migration cost มหาศาล

  • เลยเกิดวิธีคิดแบบ “Big upfront design”

  • ซึ่งสวนทางกับโลกปัจจุบันที่ต้องการ agility


3. → ใช้ architecture เป็น standard module

  • เพื่อควบคุม scope ให้จัดการได้

  • ERP vendor เลยสกัด business process ออกมาเป็น “module” (บัญชี, HR, CRM, Production ฯลฯ)

  • แต่จริง ๆ module เป็น “abstraction ที่สอดคล้องกับ schema” มากกว่าจะสอดคล้องกับวิธีทำงานจริง ๆ ขององค์กรเสมอไป


4. → บังคับให้องค์กร fit in

  • ถ้า process ขององค์กรไม่ match กับ standard module → ต้อง “ปรับองค์กรให้เข้าระบบ”

  • ERP เลยถูกมองว่า “best practice in a box” แต่จริง ๆ คือ “practice ที่ vendor ออกแบบไว้เพื่อลด complexity ของ schema”


5. → ต้นทุนปรับเปลี่ยนสูง

  • ทุกครั้งที่องค์กรอยากเปลี่ยน flow → กระทบ schema และ integration

  • customization = high cost + long timeline


6. → ถ้า customize → version lock-in

  • เพราะ customization ไปแตะ schema และ core logic

  • เวลา vendor ออกรุ่นใหม่ → upgrade ยาก (บางครั้งแทบต้อง re-implement)

  • ลูกค้าเลยติด lock-in ทั้ง product และ vendor


สรุปคือ สิ่งที่คุณเขียนมันสะท้อนว่า RDBMS-driven ERP architecture นำไปสู่ “rigid design → modularization → organizational lock-in” มันไม่ใช่เพียงแค่ design choice ทางเทคนิค แต่เป็น business model + organizational behavior model ของ ERP เลย


ผมมีคำถามชวนคิดกลับไปที่คุณครับ: ถ้าเรา ถอด RDBMS ออกไปเป็น tier 2 หรือ tier 3 (ไม่ใช่ first tier) แล้วแทนด้วย event sourcing, document DB หรือ graph DB → คุณคิดว่า module-based architecture ยังจำเป็นไหม หรือเราจะไปถึงจุดที่ ERP เป็น “composable microservice” จริง ๆ ได้?


คำตอบจาก Claude


การวิเคราะห์ Chain of Dependencies

คุณสรุปถูกต้อง:

RDBMS → Schema Lock-in → Upfront Design → Standard Modules → Organizational Fit → High Change Cost → Version Lock-in

นี่คือ negative feedback loop ที่เสริมกันและกัน:

แต่ละขั้นเสริมปัญหาขั้นถัดไป:


Schema Lock-in

→ ไม่สามารถเพิ่มฟิลด์ได้ง่ายๆ 
→ ต้องวางแผนทุกอย่างล่วงหน้า

Upfront Design

→ ต้องสร้าง "มาตรฐาน" ที่ครอบคลุมทุกกรณี
→ กลายเป็น modules แยกตาม functions

Standard Modules

→ องค์กรต้องปรับตัวให้เข้ากับ modules
→ หรือจ่ายเงินมหาศาล customize

Customization Cost

→ ถ้า customize จะ diverge จาก standard
→ upgrade version ใหม่ = nightmare

ปัญหาซ้อนปัญหา (Compound Problems)


Technical Lock-in + Business Lock-in

ไม่ได้แค่ติด technology แต่ติดทั้ง business process
→ เปลี่ยน ERP = เปลี่ยนวิธีทำงาน
→ Switch cost = Tech cost + Process cost + People cost

Vendor Dependency Amplification

Version lock-in → Feature development ขึ้นกับ vendor roadmap
→ Competitive advantage ขึ้นกับ vendor ไม่ใช่ตัวเอง
→ Innovation speed = vendor innovation speed

การทำลาย Chain นี้


ถ้าเริ่มจาก Schema Flexibility:

NoSQL/Document DB → Schema Evolution → Incremental Design → Process-based Architecture → Organizational Agility → Lower Change Cost → Version Independence

Event-driven Architecture:

Event Sourcing → Schema-less Data → Business Event Focus→ Process Orchestration → Adaptive Organization→ Minimal Migration Cost → Vendor Independence

API-first + Microservices:

Service Boundaries → Independent Evolution → Feature-based Development→ Best-of-breed Tools → Organizational Choice→ Component-level Changes → Mix-and-match Vendors

ความเจ๋งของการวิเคราะห์คุณ

คุณไม่ได้แค่บ่นว่า “ERP แย่” แต่คุณชี้ structural problem ที่อยู่ลึกกว่านั้น:


1. Technology Choice กำหนด Business Model

  • การเลือก RDBMS ไม่ใช่แค่ technical decision

  • มันกำหนด entire business ecosystem


2. Lock-in เป็น Feature ไม่ใช่ Bug

  • Vendor ได้ประโยชน์จาก lock-in

  • Customer ต้องจ่ายค่าอิสรภาพแพงมาก


3. องค์กรกลายเป็น Slave ของ Technology

  • แทนที่ technology จะ serve business

  • Business ต้องปรับตาม technology constraints


ข้อสังเกตเพิ่มเติม


Modern Architecture ทำลาย Chain:

Cloud-native → API-first → Composable → Agile Organization

แต่มี Trade-offs ใหม่:

Flexibility → Complexity
Independence → Integration Overhead  
Agility → Coordination Cost

คำถามต่อยอด

คุณคิดว่า enterprise อำนาจต่อรองสูง (เช่น Fortune 500) สามารถบังคับ vendor ให้เปลี่ยน architecture หรือไม่?


หรือ chain นี้จะต้องถูกทำลายจากข้างนอก โดย disruptive players ที่เริ่มต้นด้วย modern architecture?


และอีกประเด็น — การที่ cloud providers (AWS, Azure, GCP) เข้ามาเป็น platform จะช่วยลด lock-in หรือจะสร้าง lock-in รูปแบบใหม่?


คุณวิเคราะห์ได้ลึกมาก ทำให้เห็นว่าปัญหาของ ERP ไม่ใช่แค่ surface-level แต่เป็น systemic issue ที่ต้องแก้ที่ foundation level


เบื้องหลังบทสนทนา


ในยุคที่มี AI เป็นเพื่อน บางทีคำถามอาจสำคัญกว่าคำตอบ ครั้งนี้ผมใช้คำถามเหมือนกันกับ AI ทั้ง 2 แทนที่จะเลือกว่าตัวไหนเก่งสุด และรู้สึกรื่นรมย์ที่ได้อ่านคำตอบที่หลากหลาย และคิดว่าจะลองถาม AI ตัวอื่นอีก

(1)

ถ้าการออกแบบและพัฒนาโปรแกรม ERP ไม่ต้องยึดติดว่า ต้องเป็น Relational Database จะทำให้กระบวนการเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง? ผมอยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของคุณ ซึ่งน่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาโปรแกรม ERP ที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก และสิ่งที่โปรแกรมเหล่านั้นมีเหมือนกันคือ ใช้ Relational Database จนกลายเป็นเงื่อนไขที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดยอมรับโดยปริยาย จนไม่เคยตั้งคำถามถึงทางเลือกอื่นประเด็นที่ผมจะชี้คือ ต้นทุนที่ต้องจ่ายสำหรับขั้นตอนที่เกิดขึ้นเพื่อนำไปสู่วิถีของ Database นี้ เช่นต้องออกแบบ Schema ก่อน นั่นหมายความว่าคุณต้องรู้อย่างแน่นอนว่า คุณต้องการเก็บข้อมูลอะไรบ้าง การรู้ว่าต้องการอะไรแบบชัดเจนและแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงในอนาคต เป็นไปได้ในโลกที่เชื่อมโยงในปัจจุบันหรือไม่ Database ที่ไม่เอื้อต่อการปรับเปลี่ยน (มีต้นทุนที่ต้องจ่าย) ยังเหมาะสมหรือไม่

(2)

ทำไม ERP เลือกใช้ RDBMS ข้อดี คืออะไร

(3)

สัดส่วนระหว่างข้อมูลที่เกิดจาก input จาก source ที่เป็นกระดาษ กับช้อมูลที่เกิดจากการ source ที่เป็นดิจิตัล ที่มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ผมคิดว่า Database ของ ERP อาจไม่จำเป็นต้องเป็น first tier data ก็ได้

(4)

ผมเข้าใจว่า ERP เกิดจากแนวคิดต้องการ “รวมศูนย์” ซึ่งวิวัฒน์มาจาก ระบบบัญชี ที่ต้องรวมตัวเลขทางการเงิน กลายเป็นรวมศูนย์ข้อมูล เพื่อใช้วางแผน ซึ่งนำไปสู่คำถามว่า ระหว่าง “วางแผนล่วงหน้า” กับ “ปรับเปลี่ยนเร็ว” เราให้คุณค่าอะไร และ ERP ยังเป็นเครื่องมือนั้นอีกไหม

(5)

จากคำตอบของคุณ ข้อดีของ RDBMS โดยเฉพาะในแง่คุณสมบัติทางเทคนิค ACID, Referential ยังสำคัญอีกไหม หากไม่ใช่ first tier database

(6)

เมื่อก่อน เอ่อ.. อาจหมายถึงตอนนี้ด้วย ระบบบัญชี มีความสำคัญ เพราะทำหน้าที่รวมศูนย์ข้อมูลทางการเงิน ที่เชื่อถือได้ เราจึงใช้งบการเงิน ดูผลประกอบการ ส่วนรัฐก็บังคับใช้เพื่อยื่นภาษี แต่ในแง่การบริหารภายใน เช่น decision making อาจไม่ใช่แล้ว ขณะเดียวกันการให้คุณค่า precision ของการพิสูจน์ตัวเลขแบบบัญชี อาจไม่จำเป็นก็ได้

(7)

ERP มักออกแบบให้เป็น module เหตุผลจริงๆ เพราะอะไร — ข้อจำกัดของ database? การตั้งราคา? โครงสร้างองค์กร?

(8)

ระหว่าง ทำโครงการหมู่บ้าน สร้างบ้านแล้วขาย กับ รับสร้างบ้านตามใจลูกค้า กรณี ERP ผมว่าขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการดีลที่เหมาะสม ทั้งฝั่งองค์กร และผู้พัฒนา ERP เช่น หากออกแบบไม่ได้ ก็คำนวณงบประมาณไม่ได้ แถมยัง benchmark ตรวจรับไม่ได้

(9)

ระหว่าง subscription model กับ project base model สำหรับ ERP vendor น่าจะทำให้การดีลแตกต่างกัน จุดอ่อนและจุดแข็งน่าจะมีอะไรบ้าง

(10)

เนื่องจากใช้ RDBMS -> ทำให้เกิด schema lock in -> ต้องออกแบบให้สมบูรณ์ตั้งแต่ต้น -> ใช้ architecture เป็น standard module -> บังคับให้องค์กร fit in / ต้นทุนปรับเปลี่ยนสูง / หาก customize ก็จะติด version lock in ผมสรุปจากมุมมองผมได้ตามนี้ คุณคิดว่าไง

(11)

ขอความเห็นเชิงวิพากษ์ จากมุมมองที่แตกต่างความเห็นของผม

ดีมาก! ผมจะเล่นบทบาทเป็น devil’s advocate และท้าทายการวิเคราะห์ของคุณ


มุมมองที่ 1: RDBMS Lock-in อาจเป็น Feature ไม่ใช่ Bug


Schema Rigidity = Quality Assurance

"Flexible schema" ในความเป็นจริง = "ข้อมูลไม่สอดคล้องกัน"
- NoSQL ดูยืดหยุ่น แต่ data quality nightmare
- การบังคับ schema = บังคับให้คิดก่อนทำ
- Financial data ผิดพลาด = disaster ระดับองค์กร

Upfront Design = Risk Mitigation

"Incremental design" ฟังดูดี แต่:  
- กลางคันเจอปัญหาใหญ่ที่ต้อง redesign ทั้งหมด
- Agile works for apps ไม่ใช่ mission-critical systems
- ERP failure cost >> premium สำหรับ upfront planning

มุมมองที่ 2: Standard Modules สะท้อน Business Reality


Modules ตาม Organizational Structure เพราะมันใช้งานได้จริง

- Conway's Law: System mirrors communication structure
- การที่ HR กับ Finance แยกกันไม่ใช่ข้อบกพร่อง แต่เป็น specialization
- Cross-functional teams ดู sexy แต่ accountability กระจัดกระจาย
- Compliance requires clear ownership (SOX, GDPR)

“Process-based” ฟังดี แต่ปฏิบัติยาก

"Order-to-Cash process" ข้าม: Sales → Inventory → Billing → Collection
- แต่ละ step ต้องการ expertise ต่างกัน  
- Failure ที่จุดใดจุดหนึ่ง blame ใคร?
- Regulatory compliance ต้องการ functional separation

มุมมองที่ 3: Customization Cost สูง = Justified


Mass Customization เป็น Oxymoron

- Software engineering: Customization = Technical debt
- ยิ่ง customize มาก = maintenance cost สูงมาก  
- "Flexible" system มักเป็น "complex" system
- Complexity cost >> standardization constraint

Best Practices มาจาก Industry Experience

ERP modules สะสม best practices จาก thousands of implementations
- SME คิดว่า business model unique แต่จริงๆ 80% เหมือนกัน
- การบังคับให้ fit standard = การได้ proven practices ฟรี
- Custom process มักไม่ดีกว่า standard แค่ "different"

มุมมองที่ 4: Modern Architecture ไม่ได้แก้ปัญหา แค่ย้ายปัญหา


Microservices = Distributed Complexity

- แทนที่ monolith complexity → network complexity
- API integration failures = silent data corruption
- Debugging ข้าม services = nightmare
- Transaction consistency across services = unsolved problem

“Composable” Architecture = Integration Hell

Best-of-breed tools:
- 15 different vendors = 15 different contracts
- API version mismatch = system breakdown
- Data silos worse กว่า monolith
- Total cost of ownership สูงกว่า single vendor


มุมมองที่ 5: Enterprise Success Cases ขัดแย้งกับทฤษฎี


SAP/Oracle Customers ประสบความสำเร็จจริง

- Fortune 500 majority ใช้ traditional ERP สำเร็จ
- ROI studies แสดงผล positive (เมื่อ implement ถูกวิธี)
- Stability > agility สำหรับ established businesses  
- Market leadership มาจาก operational excellence ไม่ใช่ tech innovation

Startup Death by Flexibility

- Startups เน้น "flexible architecture" แล้ว fail เพราะ over-engineering
- Time to market >> perfect architecture
- Simple, proven solutions win over elegant, complex ones
- Premature optimization = root of all evil (Knuth)

มุมมองที่ 6: Vendor Lock-in = Partnership Value


Lock-in มาพร้อม Commitment

- Vendor มี incentive ลงทุนใน long-term customer success
- Deep integration = better performance
- Dedicated support = faster problem resolution  
- Roadmap alignment = predictable future

“Vendor Independence” = Support Nightmare

- Mix-and-match vendors = finger-pointing เมื่อเจอปัญหา
- API integration bugs: ใครรับผิดชอบ?
- Performance issues: optimization ยังไง เมื่อข้าม systems หลายตัว?
- Security vulnerabilities: attack surface กว้างกว่า

Counter-Arguments สรุป


1. Constraints Enable Creativity: Schema rigidity บังคับให้คิดแบบ structured  2. Standards Work: Millions of successful implementations prove the model  3. Complexity Hidden: Modern architectures ซ่อน complexity ไม่ได้แก้ปัญหา  4. Risk vs. Reward: Enterprise จ่ายเพื่อความมั่นคง ไม่ใช่ความยืดหยุ่น  5. Business Reality: Organizational structure มี reason ที่ exist


คุณโต้กลับยังไง? 

คุณคิดว่า arguments พวกนี้ valid หรือเป็น status quo bias? และมี evidence ไหนที่สนับสนุนให้เลื่อน modern architecture มากพอที่จะรับ trade-offs เหล่านี้?


 
 
 

ความคิดเห็น


Post: Blog2_Post
  • Facebook

©2020 by Scraft On Cloud. Proudly created with Wix.com

bottom of page