top of page
ค้นหา

Future ERP - 1: Conversation with AI

  • รูปภาพนักเขียน: Sathit Jittanupat
    Sathit Jittanupat
  • 12 ก.ค.
  • ยาว 2 นาที

อัปเดตเมื่อ 8 ส.ค.

ree

บทสนทนากับ AI ว่าด้วยอนาคตของ ERP


ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) เป็นหนึ่งในกลไกหลักที่องค์กรใช้ในการจัดระเบียบการทำงานให้เป็นระบบ และใช้ข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในช่วงหลัง ผมเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า…


ERP ที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ ยังตอบโจทย์อนาคตขององค์กรหรือไม่?

คำถามนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากการอ่านทฤษฎี หรือข้อจำกัดทางเทคนิคโดยตรง แต่เกิดจากบทความหนึ่งที่ตั้งข้อสังเกตว่า ERP โดยเฉพาะระบบระดับใหญ่ มักเป็นอุปสรรคต่อการสร้างนวัตกรรมและโมเดลธุรกิจใหม่ ซึ่งในฐานะที่ผมเป็นผู้พัฒนา ERP เอง เรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึก "ไม่เห็นด้วยทั้งหมด" แต่ก็ "ไม่สามารถปฏิเสธได้ทั้งหมดเช่นกัน"


ผมจึงเริ่มต้นพูดคุยแลกเปลี่ยนกับ AI - ใช่ครับ ปัญญาประดิษฐ์ในยุคที่ไม่ใช่แค่ให้คำตอบ แต่ร่วมวิเคราะห์ได้ลึกพอสมควร สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การเถียงหรือถามตอบธรรมดา แต่เป็นบทสนทนาแบบลองคิดต่อ…คิดขวาง…คิดย้อนกลับไปถึงรากของระบบ และลองมองไปข้างหน้าว่า องค์กรที่ดีและ ERP ที่เหมาะสมในอนาคตควรเป็นอย่างไร


สิ่งที่เราแลกเปลี่ยนกันกินเวลาหลายวัน ประเด็นที่พูดถึงมีตั้งแต่บทบาทของผู้บริหาร, โครงสร้างของข้อมูล, ขนาดขององค์กร, ความสัมพันธ์ระหว่าง implementer กับผู้ใช้, จนถึงความหมายใหม่ของคำว่า "องค์กร" เองในโลกที่กำลังเปลี่ยนไป


เพื่อให้บทสนทนานี้เป็นประโยชน์กับคนอื่นในวงการ ERP, ธุรกิจ, เทคโนโลยี และการบริหารจัดการ ผมจึงตั้งใจจะถ่ายทอดเนื้อหานี้ออกมาเป็น บทความชุด โดยเรียบเรียงในลักษณะ series เพื่อให้ตามอ่านได้เป็นลำดับ


ตอนที่ 1 - ERP กับนวัตกรรม

ปัญหาของซอฟต์แวร์ หรือภาพจำของเราเอง?


บทความต้นทางที่จุดประกายให้ผมคิดต่อ ตั้งข้อสังเกตว่า


"ERP ขนาดใหญ่มักให้ความสำคัญกับการควบคุม มากกว่าความยืดหยุ่นในการออกแบบโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ทำให้นวัตกรรมเกิดขึ้นได้ยาก"

กรณีศึกษาที่ผู้เขียนยกขึ้น เช่น การที่ระบบ ERP ใหม่ไม่สามารถรองรับโมเดล "สั่งด่วน" ได้อย่างลื่นไหล เหมือนเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ "ระบบดีแต่ไม่พอ" - ดีในเชิง control แต่ไม่เอื้อต่อการทดลองแนวคิดใหม่


แล้ว ERP จริงๆ ควรยืดหยุ่นขนาดนั้นเลยหรือ?


ในฐานะที่ผมพัฒนา ERP ผมเข้าใจดีว่าไม่มีโปรแกรมไหนสามารถ "เผื่อ" ทุกความต้องการที่ยังไม่เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะความต้องการที่ยังอยู่แค่ในหัว หรือเพิ่งเริ่มทดลองในระดับ Proof of Concept (POC)


และคำว่า "ทำไม่ได้" ที่หลายคนพูดถึง อาจไม่ได้หมายถึง "ระบบไม่รองรับ" จริงๆ แต่คือการเจอกำแพง


  • ความเข้าใจ: ใช้เวลาอธิบายก็ไม่จบสักที

  • ทรัพยากร: ไม่มีทีม/เวลาพอที่จะพัฒนาให้ทัน

  • ความเสี่ยง: ไม่กล้าแตะระบบหลักที่มีคนใช้อยู่แล้ว


ปัญหาไม่ใช่ ERP อย่างเดียว

แต่อยู่ที่ภาพจำและโครงสร้าง


สิ่งที่เราค้นพบในการสนทนาคือ "ภาพจำ" ที่มาพร้อมกับ ERP หลายระบบ โดยเฉพาะระบบระดับโลก คือ


  • ต้องครอบคลุมทั้งหมด

  • ต้องมีโครงสร้าง database ที่เข้มงวด

  • ต้องตามแนวทาง best practice ที่พิสูจน์แล้ว


แน่นอนว่าภาพจำนี้มีเหตุผล เพราะระบบที่ต้องดูแลองค์กรระดับพันล้าน ต้องมี governance ที่แข็งแรง และลดความเสี่ยงให้มากที่สุด


แต่ในขณะเดียวกัน โลกยุคใหม่ก็ตอบโจทย์อีกแบบหนึ่งเช่นกัน


  • เร็วกว่า อาจดีกว่า ครบกว่า

  • เชื่อมโยง อาจดีกว่า ครอบคลุม

  • ยอมล้มบางส่วน อาจดีกว่า เปลี่ยนไม่ได้เลย


แล้วเราจะเริ่มคิดใหม่ได้อย่างไร?

สิ่งที่ผมอยากเสนอในตอนนี้คือคำถาม


เราสามารถมอง ERP เป็นเพียง "ระบบควบคุมแกนกลาง" (Core Control) แล้วให้ innovation เกิดขึ้นจากข้างนอก เชื่อมเข้ามา ผ่านสถาปัตยกรรมแบบ modular, API-first หรือ event-driven ได้หรือไม่?


เรายังอาจต้องคิดใหม่แม้กระทั่ง "นิยามของ ERP" เอง ว่ามันไม่จำเป็นต้องเป็น "โปรแกรมก้อนใหญ่ๆ" จากค่ายใดค่ายหนึ่งอีกต่อไป แต่อาจเป็น framework, spec, หรือโครงสร้างเปิด ที่องค์กรสามารถค่อยๆ ต่อเติมได้


ในตอนต่อไป


เราจะพาไปสำรวจว่า องค์ประกอบอะไรในองค์กร ที่เอื้อต่อการมีนวัตกรรมได้จริง เมื่อทำงานร่วมกับ ERP และอะไรคือ "ข้อจำกัดที่มองไม่เห็น" ที่ทำให้แม้เราจะมีเทคโนโลยีดี แต่ดันขยับไม่ได้


เพราะ ERP ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงจัดการข้อมูล แต่มันยังสะท้อนโครงสร้างอำนาจ และการตัดสินใจในองค์กรอีกด้วย


เบื้องหลังบทสนทนา


ไม่นานมานี้ผมเริ่มหาอ่านหนังสือเก่าของทรัมป์ ด้วยความเชื่อที่คล้ายกับพวกเราหลายคนว่า "สิ่งที่เขาแสดงให้เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เขาเป็น" บางทีร่องรอยความคิดในอดีตจากหนังสือของเขาน่าจะทำให้เข้าใจตัวตนแท้จริง


มีตอนหนึ่งในหนังสือที่เขาเล่าถึงเพื่อนที่เรียนวิชาประวัติศาสตร์และได้บอกกับเขาว่า


"มันก็แค่ทำให้ฉันตระหนักว่าฉันยังไม่รู้อะไรอีกมากแค่ไหน เพราะการที่จะเข้าใจสงครามโลกครั้งที่สอง นายต้องย้อนกลับไปดูสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เพราะงั้นตอนนี้ฉันเลยค้นคว้าเรื่องสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และฉันมั่นใจว่าฉันจะต้องย้อนกลับไปอีกเพื่อให้เข้าใจว่าสงครามโลกครั้งที่หนึ่งมันมีที่มายังไง มันจะกลายเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด"

ผมเข้าใจแล้ว ความหมายของคำว่า "เรียนจนเป็นบ้า" ที่คนรุ่นพี่รุ่นพ่อเล่าถึงเพื่อนบางคนที่เรียนหนังสือด้วยกันแล้วเขาสะดุดกับบางสิ่งบางอย่าง จนถลำลึกพยายามใคร่ครวญค้นหาคำตอบอย่างสุดชีวิต ภาวะที่ค้นหาอะไรบางอย่างเพื่อทำความเข้าใจแล้วดำดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ ขณะที่ตัวแปรที่เกี่ยวข้องเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ สร้างความสับสนอลหม่านอยู่ภายใน ไม่สามารถเรียบเรียงสื่อสารออกมาให้ผู้อื่นเข้าใจได้


ครั้งนี้ผมเปลี่ยนรูปแบบการสนทนา โดยการเล่าชิ้นส่วนความคิดที่ยังไม่สามารถร้อยเรียงให้ยาวกว่าเดิม ขณะเดียวกันก็ระแวดระวังด้วยว่า AI มักจะส่งเสริมให้เราเชื่อมั่นแง่มุมนั้นเกินเหตุด้วยการหาเหตุผลน่าเชื่อถือมาสนับสนุนได้ดีเกินไป และมักละเว้นไม่กล่าวถึงเหตุผลด้านที่ขัดแย้งอย่างตรงไปตรงมา


จะเป็นอย่างไรหากวิพากษ์บทความตัวเองด้วยมุมมองไม่เห็นด้วย ทำให้ค้นพบว่า AI ทำหน้าที่เลขาธิการรัฐมนตรีที่เก่งมาก สามารถเรียบเรียงความคิดของเราที่ถ่ายทอดอย่างสับสน ให้กลายเป็นสำนวนภาษาที่สื่อสารได้ชัดเจน นับเป็นข้อดีมากๆ เพราะทำให้เราไม่ต้องเป็นคนที่ได้แต่คุยกับตัวเองเหมือนสมัยก่อน


อีกเทคนิคที่ผมใช้กับการสนทนาครั้งนี้ คือ การทอดเวลา หลังจากอ่านเนื้อหาที่ AI ตอบกลับมา ผมไม่รีบที่จะต่อบทสนทนาทันที แต่จะให้เวลาตัวเองตกผลึกทำความเข้าใจคำตอบที่ได้ พร้อมกับหาแง่มุมที่จะย้อนแย้งเพื่อขยายขอบเขตของความคิดให้กว้างไกลยิ่งขึ้น 


นี่เป็นข้อดีอีกอย่างหนึ่งของ AI ที่เราทำอย่างนี้กับคู่สนทนาที่เป็นมนุษย์ไม่ได้

คือ เงียบไปเฉยๆ แล้วอีกวันหนึ่งมาชวนคุยต่อ


ผมพยายามทำความเข้าใจมุมมองของผู้เขียนบทความ โดยเชื่อมโยงกับ "ข้อสังเกตและมุมที่อาจมองข้าม" ที่คุณนำเสนอ เมื่อใช้คำว่า "ERP ขนาดใหญ่" แสดงว่าต้องมีความคิดเปรียบเทียบกับ "ERP ขนาดเล็ก" ที่ละไว้ไม่ได้กล่าวถึงชัดเจน ดังนั้น ข้อสังเกตข้อ 1 เรื่องความไม่ยืดหยุ่นของ ERP ขนาดใหญ่ อาจหมายถึง ไม่ยืดหยุ่นเมื่อเทียบกับ ERP ขนาดเล็ก ซึ่งในความคิดของผม น่าจะเป็นการด่วนสรุปทำให้ความหมายคลาดเคลื่อน เพราะ ERP ขนาดใหญ่ก็มีความยืดหยุ่น แต่ด้วยความซับซ้อนหรือขนาดของมันทำให้ "ยาก" ที่จะเข้าใจจนสามารถปรับหรือทำเพิ่มทั้ง implement, configuration และ governance model จนบางคนตัดสินว่า "ทำไม่ได้"

คนจำนวนไม่น้อยตีความว่า "ทำยาก" = "ทำไม่ได้" = "ไม่ยืดหยุ่น"


ในความเป็นจริง ERP ขนาดใหญ่ (เช่น SAP, Oracle, Dynamics) มีระดับความยืดหยุ่นสูงมาก - ไม่ว่าจะเป็นการตั้งค่า (configuration), การขยาย (customization), หรือการเชื่อมต่อ (integration)


แต่ความยืดหยุ่นเหล่านี้มักซ่อนอยู่ในโครงสร้างที่ซับซ้อน เช่น:


  • ต้องเข้าใจ process flow ที่สัมพันธ์หลายโมดูล

  • ต้องใช้ ABAP, BADI, หรือ Extension Framework ที่ไม่ intuitive สำหรับคนที่ไม่ได้เชี่ยวชาญ

  • มีข้อจำกัดด้าน security/compliance ที่ต้องผ่านการ review หลายขั้น


ERP ขนาดใหญ่ ยืดหยุ่นในเชิงศักยภาพ แต่ไม่ "accessible" เท่ากับระบบเล็ก จึงถูก "ตัดสินว่าไม่ยืดหยุ่น" โดยคนที่ไม่สามารถเข้าถึงความสามารถนั้น



 
 
 

ความคิดเห็น


Post: Blog2_Post
  • Facebook

©2020 by Scraft On Cloud. Proudly created with Wix.com

bottom of page